WAR FOR THE PLANET OF THE APES เป็นผลงานกำกับของ แมตต์ รีฟ ที่ดำเนินงานต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2014 จาก DAWN FOR THE PLANET OF THE APES ซึ่งในภาคนี้ เราจะได้เห็นซีซาร์และฝูงลิงหลบเข้าที่กำบังของพวกเขาในป่าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกบังคับให้ต่อสู้ด้วยฝีมือของผู้พัน และซีซาร์ต้องต่อสู้กับสัญชาติญาณอันดำมืดของตนเอง
จากตัวอย่างหนังที่ 20th Century Fox ปล่อยออกมา เราจะได้เห็นการพัฒนาการในด้านอารมณ์ การกระตุกให้คิดจากภาพยนตร์ซีรี่ย์นี้อีกมากทีเดียว
1. ทุกสิ่งเริ่มมาจากความสามารถของนักแสดงโมชั่นแคปเจอร์: “เราถ่ายทุกช็อตของนักแสดงโมชั่นแคปเจอร์ในแต่ละสถานที่” รีฟกล่าวถึงกระบวนการถ่ายทำ “ก่อนจะเป็น ‘มหาสงครามพิภพวานร’ เนี่ย มันออกแนว ‘พิภพชาวSMในชุดรัดรูปพิลึก’ มากกว่า”
2.ซีซาร์ที่กลายเป็นตำนาน: รีฟผู้วางไทม์ไลน์เหตุการณ์ได้กล่าวว่า “ในหนังเนี่ย มันคือประมาณ 2 ปี หลังจากภาค Dawn(รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร) ซึ่งไม่นานพอจะทำให้มนุษย์คิดว่าสามารถไว้ใจลิงได้ ซีซาร์ได้พยายามเอาชีวิตรอด แล้วก็กลายเป็นตำนานไป พวกลิงก็หาทางเอาตัวรอดกันไป เรียนรู้การใช้-สร้างอาวุธ หลบซ่อนในป่าเพราะพวกเขารู้พื้นที่แถวนั้น มีตำนานเล่าว่าซีซ่าร์เป็นผู้นำในการต่อสู้ครั้งนี้จากในส่วนลึกของป่า และพวกมนุษย์ตามหาตัวซีซ่าร์กว่าสองปี
3.แรงบันดาลใจจากหนังเก่า : WAR FOR THE PLANET OF THE APES นั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก APOCALYPSE NOW (กองทัพอำมหิต) และ FULL METAL JACKET (เกิดเพื่อฆ่า) จากเทรลเลอร์แรก เราจะเห็นว่าทหารบางนายมีวลีแปลกๆสลักไว้บนหมวก อย่าง “Monkey Killer” “Bedtime for Bonzo” และ “Endangered Species” ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจาก Full Metal Jacket ในขณะที่นายพลผู้นำทัพจับกุมซีซ่าร์นั้น รีฟกล่าวว่า “เป็นตัวละครประเภทเดียวกับ เคิร์ทซ์-เอียน จาก Apocalypse Now แป็นพวกที่เอาจริงเอาจัง และมีแรงดึงดูดมหาศาล” นอกจากนั้น รีฟยังกล่าวถึงซีซาร์ว่า “มัน Apocalypse Now มากๆ เขาเดินทาง ใน Apocalypse Now ก็เดินทางไปตามแม่น้ำ ผ่านป่า ข้ามแคลิฟอร์เนีย ไปยังเมืองแห่งหิมะที่เซียรร์ร่า”
4.เป้าหมายของรีฟคือการขยายภาพให้กว้างขึ้น: “จริงๆเรื่องนี้เป็นหนังสงคราม ก็เหมือนหนังสงครามเรื่องอื่นๆ เรามีกลยุทธ์ มีฉากสู้รบ และสิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยมในหนังเรื่องนี้คือ คุณรู้สึกเชื่อมโยงกับลิงพวกนี้ - คุณเชื่อมโยงกับพวกเขาในด้านอารมณ์ ความรู้สึก ในขณะที่มันเป็นสงครามครั้งใหญ่ มันก็ยังมีเรื่องของสงครามในจิตใจของซีซาร์ด้วย เขารู้สึกผิดที่ตนเองมองไม่เห็นจิตใจด้านดำมืดของโคบา ซึ่งเข้าทำร้ายมนุษย์ในหนังภาคก่อน” รีฟอธิบาย ซีซาร์ตัดสินใจแก้แค้นผู้พันที่หลอกล่อให้เขาตกลงสู่ความมืดมิด “ลูกน้องข้างตัวซีซาร์ต่างรู้สึกว่านี่เป็นภารกิจฆ่าตัวตาย พวกเขาไม่อยากให้ซีซาร์ไป แต่เมื่อห้ามไม่ได้ ก็ไม่ยอมปล่อยซีซาร์ไปเพียงลำพัง ระหว่างตามหาตัวผู้พัน ซีซาร์ก็หันเข้าสู่ด้านมืด พวกเขาคิดว่า พวกเขาพบแล้วว่าทหารชาวมนุษย์หลบอยู่ที่ไหน”
5.มีเด็กสาวชาวมนุษย์ด้วย!: ระหว่างการเดินทาง พวกเขาได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่บ้านร้างริมชายหาด เธอผิวขาวซีด ผมบลอนด์ทอง เหมือนนางฟ้าน้อยๆ ซีซาร์ไม่ฆ่าเธอ เพราะเขายังหวังว่าตนเองจะมีหัวใจอยู่ มัวริซกล่อมซีซาร์ให้พาเด็กไปด้วย ซึ่งนี่เรียกเสียงวิจารณ์จากแฟนๆของภาพยนตร์ซีรี่ย์นี้ขรมทีเดียว รีฟกล่าวว่า “เธอเป็นตัวละครที่ถูกวิจารณ์มากทีเดียวครับ เธอเป็นเหมือนแสงสว่างเล็กๆ ของมวลมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้ง ตอนแรกมันเป็นเรื่องของการล้างแค้น แต่พอซีซาร์เริ่มเดินทางตามแม่น้ำไป เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรวมของมนุษย์มากขึ้น ไม่เพียงมนุษย์ แต่ยังรวมถึงวานรด้วย เป็นความลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผยน่ะ”
6.การผสมผสานของหนังหลากประเภท: “เริ่มต้นด้วยการเป็นหนังสงคราม แล้วค่อยๆกลายเป็นแนวตะวันตก แล้วมันจะค่อยๆเผยให้เราเห็นปริศนาอันยิ่งใหญ่ และกลายเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างซีซาร์และผู้พัน”
7.สิ่งใหม่ๆ โทนใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในซีรี่ย์นี้: รีฟกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ผู้ชมอาจคาดหวังความมืดมนหดหู่จากซีรี่ย์พิภพวานร ซึ่งแน่นอน และในเวอร์ชั่นนี้ยังจะมีเรื่องราวอบอุ่นหัวใจด้วย นอกเหนือจากนี้หนังยังได้ทำการยกระดับในด้านอื่นๆขึ้นทั้งหมด
8.“วานรเลว” ถูกเขียนขึ้นเพราะรูปที่รีฟและมาร์คเจอบนอินเตอร์เน็ต รีฟยอมรับ “เราเจอรูปบนเน็ต ซึ่งมันเหมือนพวกเอพส์ เราเลยเขียนถึงมัน” เขาว่า “ซาห์นอ่านบทช่วงนั้นให้ผมฟังผ่านทางสไกป์ เป็นฉากสะเทือนอารมณ์ที่จะพาคุณไปพบกับเรื่องราวเก่าๆ ในตอนที่ลิงตัวนี้และซีซาร์รนั่งคุยกัน ผมร้องไห้เลยล่ะ”
9.เทคโนโลยีก้าวล้ำไปอีกขึ้น : รีฟเผยว่าเขาพร้อมจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีพวกนี้ “จากภาค Dawn ผมเห็นว่าในสถานที่ที่ใช้แสงธรรมชาติ ลิงพวกนี้ก็ยิ่งดูสมจริงขึ้นไปอีกเพราะแสงก็เป็นของจริง ถ้าคุณถ่ายรูปลิงจริงๆ ในแสงจริงๆ มันก็จะสมจริงเพราะเป็นของจริง ผมต้องการเห็นภาพลิงพวกนี้และสภาพสังคมที่พวกลิงสร้างขึ้น ผมเลยอยากจะไปถ่ายทำในป่าฝน แต่ก็ไม่เคยทำมาก่อน เพราะทาง WETA (ทีม3D) ต้องทำให้อุปกรณ์ทนทานกว่านี้ ในภาคนี้ ผมรู้ว่าเราทำได้ เพราะเราทำมาแล้วใน DAWN ตอนนี้ผมเลยอยากไปที่ภูเขา ถ่ายฉากในหิมะ อุปกรณ์พวกนี้ถึกทนกว่าเมื่อก่อน พวกเราสามารถทำโมชั่นแคปเจอร์ได้แทบทุกสภาพอากาศ แถม WETA ยังเพิ่มรายละเอียดของตัวตรวจจับ ซึ่งทำให้เราสามารถเก็บอารมณ์และรายละเอียดของพวกลิงได้มากขึ้น มันเหนือกว่าที่เราเคยทำมา แค่ขั้นตอนทำงานก็น่าจับตามองแล้ว”