Trolls นำเสนอความสนุกสนานให้เด็ก ๆ ผ่านโลกอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยตัวละคร บทเพลง อารมณ์ขัน การผจญภัย และสีสันอันยากจะลืมเลือน ขณะที่ผู้ใหญ่ก็จะได้ประทับใจกับแนวคิดเรื่องการค้นหาความสุขซึ่งจะยังคงอยู่ในใจไปอีกนานหลังจากหนังขึ้นเครดิตจบ
อันที่จริงโลกของโทรลล์ที่เต็มไปด้วยการร้องเล่นเต้นระบำและการสวมกอดกันนั้นสะท้อนถึงความสุขที่อบอวลอยู่ในทุก ๆ เฟรมของหนังเรื่องนี้ Trolls เป็นการสำรวจว่าเราปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไรและที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เราปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร หนังเรื่องนี้นำเสนอสาระอันน่าประทับใจว่าความสุขนั้นมาจากภายใน และความสุขก็เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ส่งต่อถึงกันได้
แนวคิดนี้มีความสำคัญและเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับโลกปัจจุบันซึ่งมักเปิดทางให้แนวคิดในแง่ลบ ความหวาดกลัว และความไม่สมดุล เรื่องราวใน Trolls นำเสนอว่าเราทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการคิดและการกระทำเชิงบวก โดยเน้นความสำคัญของการทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายอันน่าหวั่นเกรงก็ตาม
ความสุขเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในความคิดของ ไมค์ มิตเชลล์ ผู้กำกับ Trolls และวอลต์ ดอร์น ผู้กำกับร่วม แม้กระทั่งในช่วงต้น ๆ ที่ทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ร่วมกับมือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างร่วม โจนาธาน เอเบล และเกล็นน์ เบอร์เกอร์ รวมถึงผู้อำนวยการสร้าง จีนา เชย์ ซึ่งผู้กำกับทั้งสองทำงานร่วมกันมาแล้วในหนังแฟรนไชส์เรื่องดังของ DreamWorks Animation อย่าง Shrek และหลังจากทั้งสองคุ้นเคยกับตัวละครยักษ์ที่ผู้คนหลงรัก พวกเขาก็ได้หันมาหาญาติห่าง ๆ ของยักษ์ นั่นก็คือโทรลล์
จากการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับโทรลล์ซึ่งปรากฏอยู่ในตำนานแถบสแกนดิเนเวีย ทั้งสองพบว่าโทรลล์มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันมากมาย ตั้งแต่ยักษ์ร่างใหญ่น่าเกลียดน่ากลัวจนถึงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วที่ทำให้คำอธิษฐานเป็นจริงได้ เมื่อ DreamWorks ทำโครงการ Shrek จบแล้ว มิตเชลล์และดอห์นก็ตัดสินใจที่จะดัดแปลงตำนานโทรลล์และสร้างจักรวาลใหม่พร้อมด้วยเหล่าตัวละครใหม่ ๆ ขึ้นมา
ทีมผู้สร้างระบุว่าพวกเขานำแง่มุมหนึ่งจากประวัติศาสตร์ของโทรลล์มาใช้ "เราสนใจเรื่องที่ว่าแต่เดิมสิ่งมีชีวิตเหล่านี้น่าเกลียดน่ากลัว แล้วจากนั้นก็ได้พัฒนามาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่น่าเกลียดแต่ก็น่ารัก" มิตเชลล์กล่าว "ในยุคทศวรรษ 1970 พวกมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสุข" ดอห์นเสริมว่า "ความเรียบง่ายและไม่สมบูรณ์แบบทำให้โทรลล์เข้าถึงได้ง่ายและทำให้ผู้คนรู้สึกดี"
เมื่อทั้งสองสำรวจแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโทรลล์ต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุดมิตเชลล์และดอห์นก็มุ่งความสนใจมายังแนวคิดเรื่องความสุขและการมองโลกในแง่ดี สิ่งนี้เองที่จุดประกายจินตนาการของพวกเขาขึ้นมา "เราสนใจแนวคิดเหล่านี้ รวมถึงโอกาสที่จะได้สร้างเรื่องราวและตำนานตั้งแต่เริ่มต้นด้วย" ดอห์นกล่าว "เราตัดสินใจกันว่าถึงเวลาแล้วที่จะแบ่งปันความสุขอีกครั้ง ไมค์กับผมเริ่มต้นจากความว่างเปล่า จากจุดนั้นเราสามารถสร้างตัวละคร เรื่องราวและสภาพแวดล้อมให้ออกมาเป็นอย่างไรก็ได้ ด้วยการใช้ความสุขเป็นป้ายนำทาง เราต้องการสร้างหนังที่ผสมผสานความสนุก การผจญภัย ความประทับใจ ดนตรี สีสัน และพื้นผิวต่างๆ เข้าด้วยกัน"
จีนา เชย์ ซึ่งเคยร่วมงานกับมิตเชลล์และดอห์นในแฟรนไชส์เรื่อง Shrek มองว่า ในหลาย ๆ แง่ Trolls เป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคทศวรรษ 1970 เวลาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของเสรีภาพ ดนตรีดิสโก้ ป๊อป และแดนซ์เปิดอยู่ทุกหนทุกแห่งและทุกคนก็เล่นโรลเลอร์สเกตกัน เราต้องการให้โทรลล์สะท้อนความสุขนั้นในสังคมของพวกเขา แล้วพวกโทรลล์ก็รักสงบมากด้วย
โทรลล์ยังมีนาฬิกาชนิดพิเศษที่เตือนให้พวกเขากอดกันทุก ๆ ชั่วโมงด้วย ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ เมื่อนาฬิกาบานออก ก็จะถึง "เวลากอด" มิตเชลล์กล่าวว่า "ความสุขส่วนหนึ่งมาจากการเชื่อมสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แล้วจะมีอะไรดีไปกว่าการกอดล่ะครับ"
"ในอีกฟากหนึ่ง เพื่อนบ้านของโทรลล์อย่างพวกเบอร์เกนนั้นไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องหรือรักสงบ" เชย์กล่าว "ดังนั้นพวกโทรลล์จึงต้องพยายามนำเอาความรู้สึกแบบยุค 70 ไปใช้กับพวกเบอร์เกน และสอนให้พวกมันรู้ว่าความสุขนั้นมาจากภายใน และคุณสามารถหาความสุขได้จากหลายทาง" ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะพวกเบอร์เกนไม่กลมเกลียวสามัคคีกันและไม่เคยรู้สึกเบิกบานใจ พวกมันหาความสุขจากภายนอกด้วยวิธีที่เป็นอันตรายเท่านั้น ความสุขไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกมันเอง และเมื่อไขว่คว้ามาได้แล้ว พวกมันก็ไม่ได้พึงพอใจสักเท่าไหร่นัก