เคลาดิโอ มิแรนด้า เป็นช่างภาพและกูรูผู้ริเริ่มทางด้านแสดงที่เปี่ยมความสามารถ โดยได้รู้จักกับเดวิด ฟินเชอร์ตั้งแต่ปี 1985 จากงานเรื่องแรกของเขาโดยเป็น Stage Manager เป็นช่างไฟและเป็น Best Boy เขาได้ย้ายร่วมงานกับฟินเชอร์ในเรื่อง The Game ตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่อง Fight Club ในปี 1999 ในงานปิดกล้องของภาพยนตร์เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button มิแรนด้าได้รับรางวัล (tongue-in-cheek) ในฐานะ Longevity Award สำหรับความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับผู้กำกับการแสดงท่านนี้ เขายังได้ร่วมงานกับโทนี่ สก๊อตเรื่อง Crimson Tide เรื่อง The Fan เรื่อง Enemy of the State
การปฏิบัติงานอย่างไม่มีการผิดพลาดและความรู้ทางด้านเทคนิคทำให้มิแรนด้าโดดเด่นในสถานภาพของเขาในฐานะช่างภาพที่เป็นที่ต้องการ งานเทศกาลภาพยนตร์ Sundance Film Festival ของปี 2005 ภาพยนตร์เรื่อง A Thousand Roads กำกับการแสดงโดย คริส อายร์เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำให้มิแรนด้าได้รับความเชื่อถือและรับเกียรติทางด้านงานถ่ายภาพของเขาในฐานะภาพยนตร์ DP ที่น่าดู
หลังจากฝึกฝนงานทางการปรับเปลี่ยนด้านแสงในภาพยนตร์แอ็คชั่น มิแรนด้าได้รับรางวัลในฐานะ Best Cinematography ทั้งทางด้านซ้าน ด้านขวาและตรงกลางของงานโฆษณาและมิวสิควิดีโอ ภาพจากงานโฆษณาที่เขาถ่ายทำได้ตรึงตาตรึงใจผู้ชมหลังจากหมดการออกฉาย เขาได้รับรางวัล AICP และรางวัล Clio สำหรับงานโฆษณา เทนนิสของ โพคารี่ในปี 2002 รางวัล Clio for Xelebri ในปี 2004 และรางวัล AICP สำหรับเบียร์ไฮเนคเกนในปี 2005 รวมไปถึงรางวัล MVPA สำหรับคลิปของบียองเซ่ (ภาพยนตร์ของชอนเพนน์) ในปี 2004
เขาเป็นลูกชายของสถาปนิกและนักออกแบบตกแต่งภายใน มิแรนด้าเริ่มเรียนที่วิทยาลัย Los Angeles และเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าการศึกษาที่หลากหลายนี้ไม่ได้เหมาะสมกับเขา เขาไม่ต้องการมีชีวิตนั่งโต๊ะ นอกจากนั้นงานที่เขาทำเป็น Stage Manager ยังน่าสนใจมากกว่า เขาหยุดเรียนจริงจังในปี 1994 เมื่อ ดาริอุซ วอลสกี้ได้มอบหมายงาน Chief Lighting Technician ให้กับเขาในผลงานภาพยนตร์ของ อเล็กซ์ โปรยาสเรื่อง The Crow
เขาได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการสนับสนุนของเพื่อน ๆ ร่วมงาน มิแรนด้าเล่าว่าเขาได้รับการเสนองานที่ก้าวกระโดดทางงานสายอาชีพของเขา เขาไม่ได้จับกล้องมาเลยเมื่อตอนเป็นวัยรุ่นและเขาไม่เคยนึกฝันกับการเป็นสตีเวน สปีลเบิร์ก เขาเล่าว่าเขาประหลาดใจกับงานที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและมีผลงานที่ใช้ความสามารถทางด้าน DP ในงานของเขา
มิแรนด้าได้พัฒนารูปลักษณ์ของโลกความเป็นธรรมชาติมากกว่าที่จะเป็นในรูปแบบของภาพยนตร์ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากรูปลักษณ์ของความไม่สมบูรณ์ในส่วนประกอบนั้น โดยบ่อยครั้งที่เขาเลือกใช้แสงที่ทำให้จุดเด่นดูด้อยลงไปเล็กน้อยเมื่อออกมาในจอ