อ้อยใจ แดนอีสาน หรือ สงเมือง คิดเห็น เป็นคนชัยภูมิ มีพี่น้องร่วมท้องทั้งหมด 6 คน ฐานะทางบ้านยากจนมาก จึงไม่มีใครมีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือสักคน เธอบอกว่าตอนเด็ก ๆ บ้านที่อยู่นั้นก็ต้องอาศัยที่ดินข้างป่าช้าวัดสว่างอารมณ์เป็นแหล่งพักพิง รายได้หลักของครอบครัวก็ได้มาจากการทำอาชีพเผาถ่านและเดินเร่ขายไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ
เมื่อถูกชมบ่อย ๆ แถมถูกยุจากหลาย ๆ คนที่บอกว่าลูกคอ-ลูกเอื้อนของเธอนั้นดี น่าจะไปลองสมัครเป็นนักร้อง จึงทำให้เด็กสาวขายถ่านมอมแมมอย่างเธอเกิด ประกายฝัน ทว่าขณะเดียวกันก็ยังไม่มั่นใจ เหตุเพราะความที่คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนขี้เหร่ ตัวดำ ความรู้ก็ไม่มี จึงไม่มีความมั่นใจ ต่อมาคุณพ่อของเธอก็ล้มป่วยและเสียชีวิต ทำให้คุณแม่ต้องแบกรับภาระหาเลี้ยงลูก ๆ ทุกคนเพียงลำพังคนเดียว อาชีพเผาถ่านขายจึงมีรายได้ไม่พอเพียงสำหรับเลี้ยงดูคนในบ้านทั้งหมด เธอจึงตัดสินใจออกไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านอาหารโต้รุ่ง เพื่อแลกกับเงินเดือนเพียงเดือนละ 150 บาท
ไม่นานนักโอกาสที่จะได้ก้าวเข้าสู่ถนนสายนักร้องของเธอก็ถูกจุดขึ้น เมื่อมีนักเต้นคนหนึ่งมาชวนเธอ โดยบอกว่าจะพาไปหาผู้ใหญ่คนหนึ่งในวงการเพลงลูกทุ่ง จึงทำให้เธอตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯทันทีโดยไม่บอกกล่าวใคร อ้อยใจบอกว่า ช่วงนั้นอายุแค่ 12-13 ปี แต่คิดในใจเสมอว่าถ้าบุญพาวาสนาดีเธอก็อาจได้เป็นนักร้อง มีชื่อเสียง แล้วจะเก็บเงินซื้อบ้านให้แม่และพี่น้องได้ด้วย ทว่าสวรรค์ของเธอก็ล่มตั้งแต่แรก เพราะครั้นไปถึงบ้านของผู้ใหญ่คนนั้นในซอยบุบฝาสวรรค์ ก็ถูกปฏิเสธ เหตุเพราะเธอไม่สวย ตัวดำ แต่ผู้ใหญ่คนนั้นก็ยังเมตตาให้อาศัยบ้านอยู่ ให้ช่วยทำงานบ้านและเลี้ยงลูก เพราะรู้ว่าเธอไม่มีที่ไป เธอเล่าต่อไปว่า หลังจากอยู่บ้านผู้ใหญ่คนนี้ปรากฏว่าขณะนั้นนักร้องขาดพอดี จึงมาถามเธอว่าร้องเพลงได้แน่หรือเปล่า ซึ่งแน่นอนเธอยืนยันว่าทำได้ จากนั้นจึงให้เริ่มทดลองร้องดู แต่ช่วงที่ทดสอบก็ปรากฏว่าผู้ใหญ่คนนี้เมา ไม่ได้สนใจฟังเธอร้องเพลงเลย
จนวันหนึ่งนักร้องเขาเกิดขาด โอกาสแรกของอ้อยใจจึงปรากฏขึ้น จนได้เป็นนักร้องสมใจ ได้เงินเดือนเดือนละ 800 บาท เธอจึงไปเช่าบ้านอยู่ย่านสลัมคลองเตย และได้นำญาติพี่น้องมาอยู่ด้วย ระหว่างที่ทำงานร้องเพลงในตอนกลางคืน เธอก็ไม่ยอมปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เธอเปิดร้านขายอาหารอีสานไปด้วย ร้านที่ว่าก็คือ ส้มตำเร่ โดยใช้วิธีหาบใส่บ่าเร่ขายไปตามตลาดปีนัง แม้รายได้จะไม่มากมายนัก แต่เธอก็บอกว่า พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวัน ๆ
ต่อมาก็มีคนโทรศัพท์ติดต่อให้ ไปร้องเพลงตามสถานที่ต่าง ๆ และมีโอกาสรู้จักกับ ณรงค์ รอดเจริญ ผู้บริหารบริษัทท็อปไลน์ ไดมอนด์ ซึ่งเป็นค่ายเทป จึงได้รับการติดต่อให้ไปทดลองเทสต์เสียงที่บริษัท และตกลงเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในค่าย จนได้ออกเทปชุดแรกคือ ผัวฉันหาย ตามด้วยชุด เบรกแตก ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการเพลงอีสาน
ชะตาชีวิตเหมือนจะเล่นตลกไม่เลิก อัลบั้มชุดต่อ ๆ มากลับไม่ดังอย่างที่คาดคิด ทำให้เกิดผลกระทบมากมายในชีวิต เนื่องจากพอยอดขายไม่วิ่ง เลยทำให้ไม่ค่อยมีงานร้อง เพลง รายได้ที่เคยมีก็เริ่มหด แต่ภาระเลี้ยงดูคนในครอบครัวยังหนักอึ้ง ทำให้เธอจำเป็นต้องหาอาชีพเสริม เธอจึงผันชีวิตตัวเองอีกครั้งไปเป็นลูกจ้างทำอาหารกับชาวญวนอยู่ 2 ปี และต่อมาก็เป็นวิชาความรู้ที่ได้อาศัยนำมาเลี้ยงชีพอยู่ในปัจจุบันนี้
ชะตากรรมยังซ้ำเติมไม่เลิก พอขายดีจนขยับขยายจากหาบขึ้นสู่แผง สุดท้ายก็มีอันต้องระเห็จกลับไปที่จุดเดิม เนื่องจากถูกเจ้าของแผงเอาแผงคืน จึงหันไปใช้วิธีการหาบขายอีก