เอ๋อตงเซิน คือผู้กำกับ/นักแสดง/ผู้เขียนบท และผู้กำกับภาพที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง เขาเกิดเมื่อปี 1957 โดยช่วงยุค 40 นั้น พ่อของเขาคือผู้อำนวยการสร้างหนัง ส่วนแม่เป็นนักแสดงชื่อดังในเซี่ยงไฮ้ อันเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีน ในขณะที่ เจียงต้าเหว่ย พี่ชายของเขาก็เป็นนักแสดงผู้คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่เทศกาลภาพยนตร์ Asian Pacific ครั้งที่ 16 เมื่อปี 1970 โดยสมาชิกตระกูลเอ๋อกว่า 20 ชีวิตได้คร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มายาวนานและเหนียวแน่น
ในปี 1975 บริษัท Shaw Brother ของฮ่องกงยกให้ เอ๋อตงเซินเป็นนักแสดงนำชายคนหนึ่งของบริษัท หลังจากนั้นอีก 9 ปีเขาก็ได้แสดงภาพยนตร์ในบทนำกว่า 40 เรื่อง ต่อมาในปี 1986 เขาถึงได้เข้าสู่เส้นทางการกำกับภาพยนตร์ Lunatics ผลงานเรื่องแรกของเอ๋อตงเซิน ถูกแบนในฮ่องกงเพราะมันตั้งคำถามที่เปราะบางและสร้างความขัดแย้งในสังคม แต่หลังโต้แย้งและคัดค้านกับทางการ ในที่สุดหนังก็ได้ออกฉายสู่สายตาสาธารณชนและทำเงินได้เกือบ 10 ล้านดอลล่าร์ รวมทั้งสร้างเทรนด์ภาพยนตร์แนวใหม่และต่อมาก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ 1 ใน 10 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1986 และยังถูกเสนอเข้ารางวัล Hong Kong Film Awards ถึง 5 รางวัล รวมถึงผู้กำกับยอดเยี่ยม
ผลงานเรื่องต่อมาของเขาก็คือ C'est la vie, mon cheri (1994) หนังรักเรื่องเยี่ยมที่สามารถทำลายสถิติรายได้บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ และคว้ารางวัลอันทรงเกียรติของงาน Hong Kong Film Awards มาได้ถึง 6 รางวัล, Full Throttle (1995), Viva Erotica (1996), Lost in Time (2003) หนังรักสุดประทับใจ นำแสดงโดย จางป๋อจือ และ กู่เทียนเล่อ, One Nite in Mongkok (2004) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของ Hong Kong Film Awards เป็นครั้งที่สอง และล่าสุดคือ Protege (2007) ภาพยนตร์ดราม่า-อาชญากรรม ที่ได้ หลิวเต๋อหัว มาประชันบทกับ แดเนียล วู เอ๋อตงเซินได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง โดยประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องของรายได้และเสียงวิจารณ์มาอย่างยาวนาน และยังสามารถสร้างภาพยนตร์ได้หลากหลายแนว แต่ถ้าเราสังเกตุถึงเครื่องหมายการค้าของเขาแล้ว เราก็จะทราบว่าหัวข้อที่เขาสนใจเป็นพิเศษคือการเล่าเรื่องของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง และความสัมพันธ์อันซับซ้อนของพวกเขา ที่เราทุกคนอาจเห็นได้ตามท้องถนนอยู่ทุกวัน