เมื่อปี 1983 มิคกี้ รูนนี่ได้รับการยกย่องจากเวที Oscar สถาบันอันเป็นที่เคารพสูงสุดของวงการภาพยนตร์ ซึ่งเป็นรางวัลพิเศษที่สถาบันจะพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปและเคยมอบให้เป็นเกียรติแก่ ชาร์ลส์ แชพปลิน, แกรี่ คูเปอร์, แครี่ แกรนท์, เฮนรี่ ฟอนด้า, โจแอน ครอว์ฟอร์ด, ลอว์เร้นซ์ โอลิเวียร์ และเด็บบอร่าห์ คาร์ รูนนี่แจ้งเกิดด้วยชื่อ โจ ยูล จูเนียร์ (Joe Yule, Jr.) เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1920 บรู๊คลิน เป็นบุตรชายของ โจ ยูล กับเนล คาร์เตอร์ นักแสดงชื่อดัง เขาขึ้นละครเวทีตั้งแต่อายุเพียงขวบเดียวเมื่อคลานเตาะแตะเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่กำลังแสดงอยู่
ตลอด 83 ปีที่ผ่านมาชีวิตของรูนนี่ก็ยุ่งเหยิงไม่ได้หยุดหย่อน ตอนสี่ขวบ เขาแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก โดยรับบทเป็นคนแคระใน Not To Be Trusted หนึ่งปีหลังจากนั้นเขาก็แสดงเป็น มิคกี้ แม็คไกวร์ ในหนังสั้น 78 ตอนสุดเฮฮาที่สร้างจากตัวละครสุดโหดจากการ์ตูนของฟอนเทน ฟ๊อกซ์ เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับบทบาทนี้จนกระทั่งอายุ 12 ปีและเป็นรู้จักกันทั่วไปในนาม มิคกี้ รูนนี่ ช่วงทศวรรษ 1930 เขาลงนามในสัญญากับ Metro-Goldwyn-Mayer เพื่อร่วมแสดงใน Andy Hardy ซีรี่ย์สุดฮิต ซึ่งยอดขายช่วงปี 1938 ถึงปี 1940 ส่งให้เขากลายเป็นนักแสดงชายที่ทำรายได้สูงสุดในโลก
ในปี 1939 รูนนี่ได้รางวัล Academy Award พิเศษจาก Boys Town ที่ร่วมแสดงกับสเปนเซอร์ เทรซี่ และซีรี่ย์ Andy Hardy ด้วย ในปีเดียวกันเขาก็ร่วมแสดงใน Babes in Arms ภาพยนตร์เพลงเรื่องแรกกับ จูดี้ การ์แลนด์ ที่ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่นักแสดงเยาวชนเข้าแข่งขันชิงรางวัลแถวหน้ากับดาราผู้ใหญ่ หลังจากนั้นในปี 1943 The Human Comedy ก็ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้ ต่อมาในปี 1944 เขานำแสดงใน National Velvet กับอลิซาเบ็ธ เทย์เลอร์ ก่อนจะไปร่วมรบกับกองทัพบกในสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ในฐานะทหารธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เขาตระเวนสร้างขวัญกำลังใจให้กับทหารแนวหน้าด้วย "Jeep Shows" ที่ใช้นักแสดง 3 คนแวะเวียนไปสร้างความบันเทิงให้กับหน่วยรบแนวหน้า ซึ่งความเสียสละของเขาได้รับการยกย่องจากกองทัพด้วยเหรียญเชิดชูเกียรติ Bronze Star
หลังสงครามสิ้นสุดลง รูนนี่ก็หันกลับมาสานต่อเส้นทางดาราโดยร่วมแสดงในภาพยนตร์คลาสสิค มากมาย รวมทั้ง Killer McCoy, The Fireball ที่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของมาริลิน มอนโร, Baby Face Nelson และ Breakfast at Tiffany's ตลอด 8 ทศววรษที่ผ่านมาเขาสร้างผลงานประทับใจมากมาย และร่วมแสดงในภาพยนตร์มากกว่า 300 เรื่อง รวมทั้ง The Black Stallion ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award Nomination) สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) ด้วย
เมื่อโทรทัศน์เริ่มแพร่หลายขึ้น รูนนี่ก็จู่โจมและยึดครองสื่อใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ เขาร่วมแสดงในผลงานดราม่าคลาสสิคหลายเรื่อง อาทิ The Comedian ของผู้กำกับจอห์น แฟรงค์เก้นไฮเมอร์ ที่ส่งให้รูนนี่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy และ Twilight Zone ตอน The Last Night of a Jockey ด้วย ในปี 1982 เขารับบท บิล เซ็ธเชอร์ ในภาพยนตร์สร้างเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์เรื่อง Bill ที่คว้ารางวัล Emmy, รางวัลลูกโลกทองคำ (The Golden Globe®) และรางวัล Peabody Award มาครองได้สำเร็จ หลังจากนั้น 2 ปีเขาก็กลับมารับบทเดิมอีกครั้งใน Bill On His Own เขายังร่วมแสดงซีรี่ย์หลายเรื่อง รวมทั้ง Hey Mulligan, Mickey ที่เขาคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe) ในปี 1964 มาครองอีกรางวัล, A Year At The Top ร่วมแสดงกับ แซมมี่ เดวิส จูเนียร์, One Of The Boys ร่วมแสดงกับ เนธาน แลนด์ และเดน่า คาร์วี่ และ The Adventures of the Black Stallion
ในปี 1979 รูนนี่นำแสดงในละครเวทีเรื่อง Sugar Babies ที่ส่งให้ได้ขึ้นปกนิตยสาร Life และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Tony nomination ด้วย ซึ่งนอกจากจะประสบความสำเร็จบนเวที Broadway ติดต่อกันนานถึง 3 ปีแล้วก็ยังย้ายไปแสดงตามเวทีทั่วประเทศอีกกว่า 8 ปี ความสำเร็จบนเวทีละครของรูนนี่ยังคงเฟื่องต่อมาในปี 1989 เขาร่วมกับ โดนัลด์ โอ คอนเนอร์ เขียนบท และร่วมแสดงใน Two For The Show ละครเวทีที่ตระเวนแสดงไปกว่า 20 เมืองทั่วประเทศ ในปี 1990
ทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันเมื่อออกแสดงละครเวที The Sunshine Boys ของนีล ไซม่อน ใน 13 เมือง เขาหวนคืนสู่เวที Broadway อีกครั้งในปี 1993 โดยร่วมแสดงกับ แลร์รี่ แก็ทลิน ใน The Will Rogers Follies ส่วน Sugar Babies ที่เขาร่วมแสดงในปี 1995 ที่ Desert Inn ในลาส เวกัส กับจูเลียต โพรซ์ก็ประสบความสำเร็จไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Crazy for You ที่เปิดการแสดง ณ Royal Alexandra Theatre ในโตรอนโต ในปี 1997 เขาตระเวนแสดงเป็น The Wizard กับ Professor Marvel ใน The Wizard of Oz ของคณะ Madison Square Garden ไปทั่วสหรัฐอเมริกา และแคนาดา
ในปี 1998 รูนนี่กับแจน ภรรยาของเขาตระเวนแสดง The One Man One Wife Show ในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อมาเปิดการแสดงในสหรัฐอเมริกา และยุโรป รูนนี่ยังเป็นนักดนตรีที่ขึ้นชื่อ และเล่นเครื่องดนตรีได้แทบจะทุกชนิดในวงออเคสตร้า เขายังเป็นสมาชิกคนสำคัญใน ASCAP ที่มีผลงานทั้งเพลงป๊อป, ซิมโฟนี่ และดนตรีประกอบภาพยนตร์ด้วย
รูนนี่ได้รับเกียรติเป็นเจ้าของดาว 3 ดวงบน The Hollywood Walk of Fame® และเมื่อเดือนมษายน 2004 ก็ได้รับเกียรติเป็นเจ้าของดาวดวงที่ 4 บน The Hollywood Walk of Fame® ซึ่งเขาแบ่งปันกับแจน ภรรยาที่ประสบความสำเร็จร่วมกันจากผลงานการแสดงสดนั่นเอง
ปัจจุบันทั้งสองยังคงครองรักกันหวานชื่นและอาศัยอยู่ในเวนทูร่า เค้าท์ตี้ แคลิฟอร์เนีย ทั้งคู่ชื่นชอบความสงบและร่มรื่นของบรรยากาศบ้านไร่ ห้อมล้อมด้วยลูกหลาน และนกเลี้ยงอีก 2 ตัว ทั้งยังเป็นสมาชิกรณรงค์เรียกร้องสิทธิของสัตว์ ตัวยงทั้งคู่ด้วย