ไมเคิล ดักลาส คือนักแสดงชายที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงภาพยนตร์ ทีวี และละครเวทีนานกว่า 30 ปี นอกจากนี้เขายังเริ่มต้นสร้างภาพยนตร์อินดี้ในปี 1975 ด้วยภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง One Flew Over the Cuckoos Nest นับแต่นั้นเป็นต้นมา ดักลาสได้แสดงความสามารถในการเลือกงานทั้งในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและนักแสดง
ไมเคิล ซึ่งเป็นลูกชายของเคิร์กและไดอาน่า ดักลาสเกิดในนิวเจอร์ซีย์ และในปี 1968 เขาได้ย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์คซิตี้ เพื่อเรียนที่ดิ อเมริกัน เพลซเธียเตอร์ และได้ร่วมแสดงในละครเวทีหลายเรื่อง ลีลาการแสดงอันยอดเยี่ยมของดักลาส ทำให้เขาคว้าบทนำในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงบทมาจากนิยายของจอห์น เวสตัน เรื่อง Hail, Hero! ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของดักลาสคือเรื่อง Adam at 6 A.M. (1970) ต่อมา ดักลาสแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Summertree (1971) ที่สร้างโดยบริษัทไบรน่า ของเคิร์ก ดักลาส พ่อของเขา ต่อด้วยภาพยนตร์เรื่อง Napoleon and Samantha (1972)
เพราะมีความสนใจที่จะสร้างภาพยนตร์จากหนังสือนิยายของเคน คีซี่ย์ เรื่อง One Flew Over the Cockoos Nest ดักลาสได้ซื้อลิขสิทธิ์ที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้จากพ่อของเขา และกลายเป็นผลงานภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึง 5 รางวัล ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ดารานำชายและดารานำหญิงยอดเยี่ยม และยังทำรายได้ไปกว่า $180 ล้าน
ในฐานะผู้อำนวยการสร้างอิสระ ดักลาสยังเดินหน้าต่อด้วยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The China Syndrome (1979) ที่ทำให้แจ็ค เลมม่อน และเจน ฟอนด้าได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
ถึงจะประสบความสำเร็จในฐานะผู้อำนวยการสร้าง แต่ดักลาสยังคงรับงานแสดงต่อไปในช่วงปลายยุค 70 เขาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Coma (1970), Its My Turn (1981) และ The Star Chanber (1983) ดักลาสยังแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Running (1979) และ A Chorus Line (1985)
ดักลาสได้ทำหน้าที่ทั้งแสดงนำและอำนวยการสร้างไปพร้อมๆ กันในปี 1984 ด้วยภาพยนตร์เรื่อง Romancing the Stone ที่มีภาคต่อออกมาในปี 1985 เรื่อง The Jewel of the Nile ดักลาสต้องใช้เวลาเกือบสองปีเพื่อกล่อมผู้บริหารของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ให้ยอมเปิดไฟเขียวให้กับภาพยนตร์เรื่อง Starman ที่กลายเป็นภาพยนตร์ฮิตประจำช่วงคริสต์มาสของปี 1984 และทำให้เจฟฟ์ บริดเจส ดารานำของเรื่องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในปี 1987 ดักลาสแสดงนำในภาพยนตร์ฮิตถึงสองเรื่อง ได้แก่ Fatal Attraction และ Wall Street ซึ่งเรื่องหลังทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม
ดักลาสได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Black Rain (1989) ต่อด้วยเรื่อง The War of the Roses (1989) ในปี 1988 ดักลาสได้ก่อตั้งบริษัทสโตนบริดจ์ เอนเตอร์เทนเม้นต์ ซึ่งได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Flatliners และ Radio Flyer ติดตามมาด้วยเรื่อง Shining Through ในปี 1992 ดักลาสแสดงนำกับชารอน สโตน ในภาพยนตร์ทริลเลอร์อีโรติค เรื่อง Basic Instinct หนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของปีนั้น
ดักลาสยังได้มอบบทบาทการแสดงที่ทรงพลังที่สุดบทหนึ่งของเขาเมื่อได้ประกบบทกับโรเบิร์ต ดูวัลล์ ในภาพยนตร์ของโจล ชูมัคเกอร์ เรื่อง Falling Down ในปีนั้น เขายังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง Made in America ในปี 1994 เขาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Disclosure ในปี 1995 ดักลาสรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง The American President และในปี 1997 เขาแสดงนำในเรื่อง The Game
ในเดือนพฤษภาคม ปี 1994 ดักลาสได้ก่อตั้งบริษัทดักลาส/ รอยเธอร์ โปรดักชั่นส์ โดยร่วมหุ้นกับสตีเว่น รอยเธอร์ส และได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง The Ghost and the Darkness และภาพยนตร์เรื่อง The Rainmaker นอกจากนี้ดักลาสและรอยเธอร์ยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Face/Off
ในปี 1998 ดักลาสแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง A Perfect Murder และได้ก่อตั้งบริษัทเฟอร์เธอร์ ฟิล์มส์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทแห่งนี้ คือเรื่อง One Night at McCools (2001) ปีนั้นถือว่าเป็นปีสำคัญสำหรับดักลาส ภาพยนตร์เรื่อง Wonder Boys เปิดตัวฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2000 และได้รับคำชมไปอย่างท่วมท้น ดักลาสได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบัฟต้าจากภาพยนตร์เรื่องนี้
ดักลาสแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Traffic (2000) และในปี 2001 เขาแสดงนำในภาพยนตร์ของค่ายฟ็อกซ์/รีเจนซี่ เรื่อง Dont Say a Word
ในปี 2003 ดักลาสแสดงนำในภาพยนตร์สองเรื่อง ได้แก่ It Runs in the Family โดยเขาได้ร่วมแสดงกับเคิร์ก ดักลาส พ่อของเขา, ไดอาน่า ดักลาส แม่ของเขา และคาเมรอน ดักลาส ลูกชายของเขา และเรื่อง The In-laws ที่เขาร่วมแสดงกับอัลเบิร์ต บรู๊กส์