มิเชล กอนดรี้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์, ผู้กำกับงานโฆษณา, และผู้กำกับมิวสิควิดีโอที่ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย เขามักจะสร้างความประหลาดใจให้กับตัวเองด้วยแนวคิดที่แปลกแหวกแนวอยู่เสมอ ๆ เขาไม่เคยจำกัดตัวเองให้คิดแค่สร้างสรรค์อยู่แต่ในกรอบ หากยังคว้าโอกาสที่จะสร้างผลงานสุดโต่งเพื่อสร้างความสำราญให้กับผู้ชมอยู่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อปี 2005 กอนดรี้คว้ารางวัลออสการ์ จากบทภาพยนตร์เรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ที่ผสมผสานแนวคิดแหวกธรรมเนียมของเขาเข้ากับเรื่องราวแหกคอกของชาร์ลี คอฟแมน และปิแอร์ บิสมัธ ได้อย่างน่าสนใจ
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของกอนดรี้คือ Tokyo หนังสั้น ๆ สามเรื่องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองอันเป็นสัญลักษณ์ของโลกไปแล้วแห่งนี้ โดยกอนดรี้จะร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับลีโอ คาแร็กซ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวฝรั่งเศส และบงจุนโฮ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเกาหลีใต้ โดย Comme des Cinemas ที่ตั้งอยู่ในมหานครปารีส เป็นผู้อำนวยการสร้าง ปี 2007
กอนดรี้ยังสร้างผลงาน The Science of Sleep ที่ Sundance Film Festival และ Warner Independent Pictures จัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่นักวิจารณ์ทั้งหลายปลื้มกันมากมายเรื่องนี้นำแสดงโดยเกล การ์เซีย เบอร์นัล (จาก The Motorcycle Diaries) ว่าด้วยหนุ่มช่างฝัน (เบอรนัล) ที่ตกหลุมรักสาวบ้านใกล้เรือนเคียง (ชาร์ล็อต เกนสเบิร์ก) จนเริ่มสับสนระหว่างความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริง ก่อนหน้านั้นเขาก็พัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Dave Chappelle's Block Party กับเดฟ แชพเพล ของ Rogue Films ที่จัดจำหน่ายโดย Focus Feature โดยถ่ายทำกันตามถนนหนทางในมหานครนิวยอร์ค เมื่อเดือนกันยายนปี 2004 และได้ศิลปินนักแสดงมากหน้าหลายตามาร่วมงานด้วย อาทิ เดฟ แชพเพล, มอส เดฟ, อิริก้า บาดู, จิล สก๊อต, ทาลิบ ควิลิ, คานเย เวสต์, The Roots, Common, เดด เพรซ, และยังได้ The Fugees ที่กลับมาร่วมตัวกันอีกครั้งเข้ากล้องด้วย
ในปี 2004 ที่ผลงานของกอนดรี้เรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ซึ่งนำแสดงโดยจิม แคร์รี่ กับเคท วินสเล็ต ออกฉายก็ส่งให้กอนดรี้ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกอย่างกว้างขวางกับแนวคิดแหวกขนบ เมื่อคู่รักพยายามตัดใจจากความสัมพันธ์ที่ไปด้วยกันไม่รอดด้วยการลบความทรงจำอันเลวร้ายออกไปจากหัว นับเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองของกอนดรี้ที่ร่วมงานกับชาร์ลี คอฟแมน นักเขียนบทภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์ ที่เข้ามาช่วยปรับแนวคิดของเขาให้กลายเป็นบทภาพยนตร์เรื่องยาวได้อย่างลงตัว Focus Features เปิดตัวฉายตามโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2004 และวางแผงในรูปแบบดีวีดีในเดือนกันยายนปีเดียวกัน และกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2004 ของหลาย ๆ สำนักด้วย
ย้อนไปเมื่อปี 2003 กอนดรี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิดตัว The Work of Director Michel Gondry ดีวีดีรวบรวมผลงานของเขากับหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่บรรจุทั้งเรื่องราว, ภาพเขียน, ภาพถ่าย, และบทสัมภษณ์ของมิเชล แถมในดีวีดียังมีสารคดีขนาดยาวเรื่อง Ive Been 12 Forever ที่เป็นผลงานส่วนตัวมาก ๆ รวมอยู่ด้วย จุดเด่นของผลงานชิ้นนี้ที่ฮือฮาสุด ๆ ก็คงอยู่ที่บทสัมภาษณ์คนดัง ๆ หมากหน้าหลายตาซึ่งเคยร่วมงานกับกอนดรี้อย่าง Björk, Daft Punk, Beck, และ Dave Grohl กอนดรี้เองก็ยังมาปรากฏตัวเพื่อบรรยายถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้นออกมา นอกจากนั้นก็ยังเล่าถึงอิทธิพลส่วนตัวที่สะท้อนออกมาให้เห็นในผลงานของเขาหลาย ๆ ชิ้นโดยมีการสัมภาษณ์สมาชิกครอบครัว รวมทั้งคุณแม่ของเขากับ พอลลูกชายของเขาที่ช่างอุดมไปด้วยแรงบันดาลใจให้พ่อสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเมื่อDirectors Label บริษัทใหม่ถอดด้ามในเครือ Palm Pictures วางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2003 ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทั้งในหมู่ผู้สร้างภาพยนตร์กับคนทำเพลง และนักวิจารณ์ก็ชื่นชมกันทั่วหน้า
ภาพยนตร์เรื่อง Human Nature เป็นผลงานการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของกอนดรี้ที่ได้เปิดฉายรอบปฐมทัศน์ใน Cannes International Film Festival เมื่อปี 2001 และออกสู่สายตาของชาวอเมริกันใน Sundance Film Festival เมื่อปี 2002 ก่อนที่ Fine Line Features จะเปิดฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อเดือนเมษายน 2002 ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Human Nature นำแสดงโดยแพทริเซีย อาร์เค็ท กับทิม ร็อบบินร่วมกันถ่ายทอดทัศนคติเชิงปรัชญาที่แม้จะหดหู่แต่ก็เป็นปุถุชนสุด ๆ โดยเฉพาะการรับลูก-ส่งลูกเอาล่อเอาเถิดกันระหว่างนักเขียนจิตป่วน, หนุ่มช่างเอาแต่ใจ, นักเคมีแสนใจดี, นักวิจัยสัตว์กัดแทะสุดเก็บกด และผู้ช่วยชาวฝรั่งเศส ที่มีลุ้นจะได้แต่งงานของเขา
เมื่อไม่ได้ทำงานยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือเส้นขนบนร่างกาย กอนดรี้จัดว่าเป็นผู้กำกับผลงานโฆษณาและมิวสิควิดีโอชั้นแนวหน้าเลยทีเดียว งานโฆษณาชิ้นแรกของกอนดรี้ชื่อ Drugstore ของ Levi เมื่อปี 1994 คว้ารางวัล Lion D'Or จาก Cannes และติดอันดับ Guinness Book of World Records ในฐานะเป็นงานโฆษณาชิ้นที่ได้รับรางวัลมากที่สุดตลอดกาลด้วย นอกจากนั้นผลงานของกอนดรี้ชุด Mermaids ของ Levi ก็คว้ารางวัล silver medal winner จากเวที Clio Awards และรางวัล bronze จาก Cannes, ชุด Smarienburg ของ Smirnoff เมื่อปี 1997 ก็คว้ารางวัล gold medals ทั้งที่ Cannes และจากเวที Clio Awards ด้วย ล่าสุดเขาก็กำกับโฆษณาชุด Bounce ของ Diet Coke ที่ได้เอเดรียน โบรดี้มาแสดง, ชุด Bellybuttons ของ Levi และรายการยาว That's Holiday ของ Gap ด้วย
กอนดรี้เริ่มสร้างชื่อเสียงตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนกราฟฟิคอยู่ที่โรงเรียนสอนศิลปะของฝรั่งเศส เมื่อเขากำกับมิสิควิดีโอให้กับวง Oui Oui ซึ่งเขาตีกลองอยู่ด้วย ผลงานของเขาโดนใจวงท้องถิ่นอื่น ๆ จนทาบทามให้เขามาถ่ายทำมิวสิควิดีโอให้บ้าง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มรับงานในระดับนานาชาติแล้ว กอนดรี้พบกับ Björk ศิลปินเพลงสาวและความสัมพันธ์เชิงอาชีพที่ยาวนานและประสบความสำเร็จก็เริ่มขึ้นในปี 1993 เป็นต้นมา ทั้งคู่ร่วมงานกันครั้งแรกในมิวสิควิดีโอเพลง Human Behavior ที่คว้ารางวัลทุกสำนักเท่าที่จัดแจกรางวัลกันในปีนั้น แล้วก็กำกับมิวสิควิดีโอของ อีก 5 เพลง รวมทั้งเพลง Joga กับ Bachelorette ด้วย แล้วเขายังร่วมงานกับศิลปินแถวหน้าอีกมากมาย อาทิ The White Stripes, The Rolling Stones, Beck, Cibo Matto, Daft Punk, Chemical Brothers, Foo Fighters, Lenny Kravitz, Sheryl Crow, Kylie Minogue, The Willowz, The Polyphonic Spree, Steriogram, และ Gary Jules กอนดรี้ยังกำกับ The Denial Twist เป็นเพลงที่สี่ที่ร่วมงานกับ The White Stripes โดยมีโคแน โอ ไบรอั้น มาร่วมแสดงด้วยโดยกอนดรี้ปรับแต่งให้สมาชิก Stripes ทั้งวงเข้าไปร่วมแสดงอยู่ในรายการ Late Night ในปี 2003, เพลง Heard 'Em Say ของ Kanye West ที่ถ่ายทำกันทั้งเพลงในร้าน Macy's สาขานิวยอร์ค เพื่อออกอากาศในช่วงวันหยุดเทศกาลปี 2005, เพลง Cell Phone's Dead ของ Beck ที่คว้ารางวัล MVPA award สาขา Best Alternative Video เมื่อปี 2007 ไปครองด้วย