เจฟฟ์ บริดเจส หนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของฮอลลีวูด ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดห้าสมัย ในบทแบ๊ด เบลค นักร้องเพลงคันทรีขี้เหล้าผู้ตกอับ ตัวเอกของภาพยนตร์เรื่อง Crazy Heart ทำให้นักแสดงในตำนานผู้นี้คว้ารางวัลออสการ์ตัวแรกมาครองได้สำเร็จในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
บริดเจสได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เป็นครั้งแรกในปี 1971 ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากผลงานภาพยนตร์โดยปีเตอร์ บ็อกดาโนวิชเรื่อง The Last Picture Show สามปีถัดมา เขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่สองในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงในภาพยนตร์โดยไมเคิล ซิมิโนเรื่อง Thunderbolt and Lightfoot ในปี 1984 เขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Starman ซึ่งส่งผลให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำด้วยเช่นกัน ในปี 2001 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีกครั้ง และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่สี่จาก The Contender ทริลเลอร์การเมืองโดยร็อด ลูรี่ ที่ร่วมแสดงโดยแกรี โอลด์แมนและโจน อัลเลน โดยตัวบริดเจสรับบทประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ผลงานของนักแสดงชื่อดังผู้นี้มีหลากหลายแนว โดยเขาได้แสดงในภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศและภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมมากมายหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง Iron Man, The Fisher King, The Fabulous Baker Boys, The Jagged Edge, Tucker: The Man and His Dream, Blown Away, Fearless และ American Heart ตั้งแต่การแสดงในคอเมดีอย่าง The Big Lebowski และ The Mirror Has Two Faces ไปจนถึงดรามาอย่าง The Open Road และ White Squall พรสวรรค์ของบริดเจสได้ทำให้เขาได้รับการยกย่องทั้งในหมู่เพื่อนร่วมแสดงและแฟน ๆ ของเขา
เจฟฟ์ บริดเจส ได้ร่วมงานกับพี่น้องโคเอนใน True Grit เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อพ่อของแม็ตตี้ รอส วัยสิบสี่ขวบ (เฮลลี่ สเตนเฟลด์) ถูกยิงอย่างเลือดเย็นโดยคนขี้ขลาดทอม เชนีย์ (จอช โบรลิน) เธอก็เลยมุ่งมั่นที่จะจับเขามารับโทษให้ได้ เมื่อได้ความช่วยเหลือจากนายอำเภอขี้เหล้าบ้าปืน รูสเตอร์ ค็อกเบิร์น (บริดเจส) เธอก็เริ่มต้นออกเดินทางกับเขาเพื่อตามล่าตัวเชนีย์ แม้ว่าเขาจะพยายามทักท้วงยังไงก็ตามที เลือดของพ่อเธอบีบคั้นให้เธอต้องไล่ตามฆาตกรผู้นี้เข้าไปในดินแดนของพวกอินเดียนแดง และตามหาตัวเขาให้พบก่อนที่เท็กซัส เรนเจอร์ ที่ชื่อเลอเบิฟ (แมทท์ เดมอน) จะจับตัวเขาเพื่อนำเขากลับไปรับโทษสำหรับการฆาตกรชายอีกคนหนึ่งในเท็กซัส
ก่อนหน้า Crazy Heart บริดเจสได้แสดงคอเมดีสงคราม The Men Who Stare at Goats ในบทบิล ดิจังโก้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทางทหาร ผู้รักอิสระเสรี ผู้นำของกลุ่มนักรบลับในกองทัพ บทภาพยนตร์โดยปีเตอร์ สเตราแฮน (จากหนังสือโดยจอน รอนสันและกำกับโดยแกรนท์ เฮสลอฟ) สร้างขึ้นจากเรื่องจริงเกี่ยวกับนักข่าวในอิรัก ผู้ได้พบกับอดีตสมาชิกกองกำลังที่หนึ่งของกองทัพสหรัฐฯ ที่ใช้พลังเหนือธรรมชาติในภารกิจของพวกเขา โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ บริดเจสจะแสดงประกบจอร์จ คลูนีย์ (ที่ควบหน้าที่อำนวยการสร้างด้วย), ยวน แม็คเกรเกอร์ และเควิน สเปซีย์
นอกเหนือจากนั้น บริดเจสยังได้แสดงใน A Dog Year โดยเอชบีโอ ฟิล์มส์/พิคเจอร์เฮาส์ ที่สร้างขึ้นจากอนุทินโดยจอน แคทซ์และกำกับโดยจอร์จ ลาวู (ผู้เขียนบทภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน) และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี และเขายังได้แสดงประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์, จูเนียร์ในบทโอบาเดียห์ สเตนในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์ส/ มาร์เวล สตูดิโอส์เรื่อง Iron Man อีกด้วย
เขาได้ร่วมงานกับไชอา ลาบัฟฟ์ในการพากย์เสียงกี๊ค เพนกวินนักเซิร์ฟตกอับ ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด Surfs Up จากโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้แสดงใน The Amateurs คอเมดีที่เขียนบทและกำกับโดยไมเคิล แทรเกอร์ ที่บอกเล่าเรื่องราวที่ชาวเมืองเล็กๆ มารวมตัวกันเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ ภายใต้อิทธิพลของชายที่กำลังประสบกับวิกฤตการณ์วัยกลางคน
เขาได้แสดงภาพยนตร์เรื่องที่สองให้กับผู้กำกับเทอร์รี่ กิลเลียม Tideland ที่เขารับบทโนอาห์ อดีตนักกีตาร์ร็อคขี้ยา และภาพยนตร์โดยทัชสโตน พิคเจอร์สเรื่อง Stick It ที่เขารับบทโค้ชของทีมนักยิมนาสติกที่แหกคอกประจำ
อาชีพนักแสดงของบริดเจสได้ครอบคลุมถึงภาพยนตร์ทุกแนว โดยเขาได้แสดงในภาพยนตร์ฮิตที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยแกรี่ รอสเรื่อง Seabiscuit, คอเมดีดรามาออฟบีทโดยเทอร์รี่ กิลเลียมเรื่อง The Fisher King (ที่ร่วมแสดงโดยโรบิน วิลเลียมส์), ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัล The Fabulous Baker Boys (ที่ร่วมแสดงโดยโบ บริดเจส น้องชายของเขาและมิเชลล์ ไฟเฟอร์), The Jagged Edge (ประกบเกลนน์ โคลส), ภาพยนตร์โดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง Tucker: The Man and His Dream, Blown Away (ที่ร่วมแสดงโดยลอยด์ บริดเจส พ่อผู้ล่วงลับของเขาและทอมมี่ ลี โจนส์), ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เวียร์เรื่อง Fearless (ประกบอิซาเบลลา รอสเซลลินีและโรซี่ เปเรซ) และภาพยนตร์โดยมาร์ติน เบลเรื่อง American Heart (ประกบเอ็ดเวิร์ด เฟอร์ลอง ที่อำนวยการสร้างโดยแอสเซิล โปรดักชันส์ บริษัทของบริดเจส) ภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลไอเอฟพี/สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมปี 1993
เขารับบทนำใน The Muse (คอเมดีโดยอัลเบิร์ต บรู๊คส์ ที่นำแสดงโดยบรู๊คส์, ชารอน สโตนและแอนดี้ แม็คดูเวลล์) แสดงในทริลเลอร์กระตุกขวัญ Arlington Road (ร่วมแสดงโดยทิม ร็อบบินส์และโจน คูแซ็ค และกำกับโดยมาร์ค เพลลิงตัน) และนำแสดงใน Simpatico เวอร์ชันภาพยนตร์ของละครโดยแซม เชพเพิร์ด (ที่ร่วมแสดงโดยนิค โนลเต้, ชารอน สโตนและอัลเบิร์ต ฟินนีย์) ในปี 1998 เขาได้แสดงในคอเมดีคัลท์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง The Big Lebowski ก่อนหน้านั้น เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตต์เรื่อง White Squall, ภาพยนตร์โดยวอลเตอร์ ฮิลเรื่อง Wild Bill, ภาพยนตร์โดยจอห์น ฮูสตันเรื่อง Fat City และโรแมนติกคอเมดีโดยบาร์บรา สไตรแซนด์เรื่อง The Mirror Has Two Faces
ผลงานการแสดงเรื่องอื่น ๆ ของบริดเจสได้แก่ How to Lose Friends and Alienate People, K-PAX, Masked and Anonymous, Stay Hungry, Fat City, Bad Company, Against All Odds, Cutters Way, The Vanishing, Texasville, The Morning After, Nadine, Rancho Deluxe, See You in the Morning, Eight Million Ways to Die, TRON, The Last American Hero และ Heart of the West
ในปี 1983 บริดเจสได้ก่อตั้ง เอนด์ ฮังเกอร์ เน็ตเวิร์ค องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่มีเป้าหมายเพื่อหาอาหารให้กับเด็กทั่วโลก เขาอำนวยการสร้างรายการโทรทัศน์เอนด์ ฮังเกอร์ รายการโทรทัศน์สดสามชั่วโมง ที่พูดถึงประเด็นความหิวโหยในโลกใบนี้ รายการโทรทัศน์นี้นำเสนอเกรกอรี เพ็ค, แจ็ค เลมมอน, เบิร์ท แลนคาสเตอร์, บ็อบ นิวฮาร์ท, เคนนี ล็อกกินส์และดาราในแวดวงจอเงิน จอแก้วและดนตรี ในงานสร้างที่ให้การศึกษาและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเคลื่อนไหว
ผ่านทางบริษัทแอสเซิล โปรดักชันส์ เขาได้อำนวยการสร้าง Hidden in America ที่นำแสดงโดยโบ น้องชายของเขา ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่องนั้นของโชว์ไทม์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 1996 สาขาภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์/เคเบิลยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสำหรับโบ บริดเจส นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมี อวอร์ด
หนึ่งในสิ่งที่บริดเจสรักที่สุดคือการถ่ายภาพ ระหว่างที่อยู่กองถ่าย บริดเจสก็มักจะถ่ายภาพเบื้องหลังของบรรดานักแสดง ทีมงานและโลเกชันต่างๆ หลังจากปิดกล้องแต่ละเรื่อง เขาก็จะเรียบเรียงภาพเหล่านี้เป็นหนังสือและมอบก็อปปี้ให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ภาพของบริดเจสได้ลงนิตยสารหลายฉบับ รวมถึงพรีเมียร์และอเพอร์เจอร์ และนิตยสารฉบับอื่นๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ เขายังมีผลงานจัดแสดงในนิวยอร์ก (ที่จอร์จ อีสต์แมน เฮาส์), ลอสแองเจลิส, ลอนดอนและซานดิเอโก้ หนังสือเหล่านี้ ซึ่งได้รับการยกย่องจากบรรดานักสะสม ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เผยแพร่ต่อสาธารณะ แต่ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 พาวเวอร์เฮาส์ บุ๊คส์ได้ตีพิมพ์ Pictures: Photographs by Jeff Bridges หนังสือปกแข็ง ที่รวบรวมภาพถ่ายตามโลเกชันภาพยนตร์ต่างๆ ในช่วงหลายปี ซึ่งก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลาม รายได้จากหนังสือเล่มนี้ถูกบริจาคให้กับกองทุนภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ให้การดูแลและสนับสนุนแรงงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
บริดเจสได้ทำความฝันให้เป็นจริงด้วยการปล่อยอัลบัมชุดแรก Be Here Soon ภายใต้แรมป์ เรคคอร์ดส์ บริษัทในซานตา บาร์บารา, แคลิฟอร์เนียที่เขาก่อตั้งกับไมเคิล แม็คโดนัลด์และผู้อำนวยการสร้าง/นักร้อง/นักแต่งเพลง คริส เพโลนิส อัลบัมชุดนี้ได้แขกรับเชิญเป็นนักร้อง/นักคีย์บอร์ด ไมเคิล แม็คโดนัลด์, นักร้องผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี เอมี ฮอลแลนด์และตำนานคันทรี-ร็อค เดวิด ครอสบี้ นอกจากนี้ แรมป์ เรคคอร์ดส์ยังได้จัดจำหน่ายอัลบัมของไมเคิล แม็คโดนัลด์ในชื่อ Blue Obsession ออกมาอีกด้วย