ราดาห์ มิตเชลล์ เป็นนักแสดงสาวชาวออสเตรเลียนที่เริ่มอาชีพทางการแสดงตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม และได้พัฒนาพรสวรรค์อย่างรวดเร็วจากหลากหลายบทบาท ซึ่งต้องใช้ทั้งพลังแห่งความเยาว์วัยและความไร้เดียงสา รวมกับความคิดอันเคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่ เริ่มจากการแสดงในซีรี่ส์ทางโทรทัศน์เรื่อง Sugar and Spice ต่อด้วยซีรี่ส์เรื่อง Neighbours และยังมีผลงานทางโทรทัศน์อื่น ๆ อีก เช่น Blue Heelers, Phoenix, GP และ The Flying Doctors รวมไปถึงการรับบทนำในละครเวทีสัญชาติออสเตรเลียนเรื่อง Desire
มิตเชลล์เปิดตัวผลงานทางภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ของผู้กำกับฯ เอ็มมา และเคต โครแกห์น เรื่อง Love and Other Catastrophes โดยรับบท แดนนี่ หรือผู้หญิงหวาน ๆ ตามที่เธอเคยอธิบายไว้ ซึ่งรักอยู่กับนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อว่า มิอา ก่อนที่ทั้งสองจะเลิกรากัน และกลับมาคืนดีกันอีกครั้งในท้ายที่สุด ท่ามกลางเรื่องราวตลกขบขันของกลุ่มเพื่อนสนิทและคู่รัก สำหรับภาพยนตร์เรื่องแรกในอเมริกาของเธอนั้นจะต่างออกไปอย่างมาก กล่าวคือ เป็นภาพยนตร์ดราม่าหนัก ๆ ของผู้กำกับฯ ลิซา โคโลเดนโก เรื่อง High Art (ปี 1998) โดยรับบทเป็น ซิด ซึ่งยังมีส่วนคล้ายบทแดนนีอยู่บ้าง โดยที่ดวงตากลมโตส่องประกายและผมสีบลอนด์ของเธอนั้นจะสื่อถึงการเป็นบรรณาธิการนิตยสารที่ยังเด็กและขาดประสบการณ์ ทั้งยังหน้ามืดตามัวหลงรักช่างภาพผู้มีพรสวรรค์ (แสดงโดย แอลลี ชีดดีย์) นำพาไปสู่ชีวิตและการงานอันตกต่ำ ในขณะเดียวกัน มิตเชลล์ต้องถ่ายทอดความเป็นผู้ใหญ่และเสน่ห์อันร้อนแรง รวมกับฝันอันเพ้อเจ้อ กับการรับบทแขกผู้มาเยือนแต่ไม่ยอมจากไปในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง Cleopatra's Second Husband (ในปี 1998 เช่นเดียวกัน)
ต่อมาจึงได้แสดงในภาพยนตร์กระแสหลัก ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ไซไฟสยองขวัญเรื่อง Pitch Black (2000), ภาพยนตร์กระตุกขวัญเรื่อง Phone Booth (2003) ต่อด้วยรับบทแม่ของดาโกต้า แฟนนิ่ง ใน Man On Fire (2004) รวมไปถึงบทบาทที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอใน Finding Neverland (2004) ซึ่งเธอแสดงเป็นภรรยานิสัยแปลก ๆ ของ เจ.เอ็ม. แบร์รี่ (แสดงโดย จอห์นนี เด็ปป์) ผู้ให้กำเนิดปีเตอร์แพนขึ้นมาจากจินตนาการ นอกจากนี้เธอยังเขียนบทภาพยนตร์ กำกับภาพยนตร์ และแสดงเองในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง Four Reasons (2002)
กระทั่งถึงบทบาทที่ยากที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ กับการแสดงเป็นตัวละครชื่อเดียวกับภาพยนตร์ในภาพยนตร์ที่ วูดดี้ อัลเลน ทั้งเขียนบทฯ และกำกับฯ เอง เรื่อง Melinda and Melinda (2005) ซึ่งว่าด้วยเรื่องปัญหารักของหญิงสาวคนหนึ่งในสองโครงเรื่องที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ เรื่องหนึ่งเศร้า อีกเรื่องหนึ่งขบขัน ทว่าดำเนินเรื่องขนานกันไปจนจบ เรียกว่ามิตเชลล์แสดงเป็นเมอลินดาทั้งสองคนได้อย่างน่าชื่นชม คนหนึ่งมีชีวิตล้มเหลว เต็มไปด้วยบาดแผล และถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวมีเสน่ห์ ทว่าวิตกจริตจนไม่สามารถมองเห็นรักแท้ ถัดมาเป็นการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Silent Hill (2006) รับบทเป็นแม่ผู้สิ้นหวัง ซึ่งยังคงพยายามหาคำตอบของปริศนาแห่งความฝันที่ทำให้ลูกสาวของเธอละเมอเดินไปนอกบ้านอยู่ทุกคืน แต่แทนที่เธอจะพาลูกไปอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์ เธอกลับพาลูกเข้าสู่เมืองในหมอกอันเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตสุดพิสดารและปิศาจร้าย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพยนตร์จะได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบ แต่กลับเปิดตัวขึ้นอันดับหนึ่งของตารางบ็อกซ์ออฟฟิศและทำรายได้ไปกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ