ปลายทศวรรษ 70 จอห์น ทราโวลต้า รุ่งโรจน์ที่สุดในฮอลลีวูด ด้วยหนังดังอย่าง Saturday Night Fever และ Grease ตลอดจนซีรีส์ทางโทรทัศน์ และผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ เขาเหมือนกับคนดังคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดได้เพียงไม่นาน ช่วงทศวรรษที่ 80 ชื่อเสียงของเขาก็โรยเสียแล้ว และกลายเป็นเพียงความทรงจำจากยุคของเขา แต่เขาไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ตรงที่ความรุ่งโรจน์ของเขาไม่จบอยู่แค่ครั้งเดียว ช่วงทศวรรษต่อ ๆ มา เขายังสามารถคืนสู่ความเป็นซูเปอร์สตาร์ได้อีก จนหลายคนให้ฉายาเขาว่า แมวเก้าชีวิต
พ่อของเขาเป็นอดีตนักฟุตบอลกึ่งอาชีพ ส่วนแม่เป็นอดีตนักร้องในคณะซันไชน์ ซิสเตอร์ และเป็นครูสอนวิชาการละครในไฮสคูล จอห์นเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนลูก ๆ ทั้งหมด 6 คน ซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ไม่เข้าวงการบันเทิง จอห์นก็เข้าสู่วงการแสดงเมื่ออายุเพียง 12 ขวบ ด้วยการร่วมแสดงละครเวทีและละครเพลงในท้องถิ่น และยังได้เรียนการเต้นแท๊ปจาก เฟร็ด เคลลี่ ซึ่งเป็นน้องชายของ จีน เคลลี่ ด้วย พออายุ 16 เขาตัดสินใจลาออกจากไฮสคูล แล้วย้ายไปแมนฮัตตันเพื่อร่วมแสดงในละครออฟบรอดเวย์เรื่องแรกของเขา คือ Rain ในปี 1972 ต่อจากนั้นเขาได้รับบทเล็ก ๆ ในเรื่อง Grease ที่เดินสายแสดงตามที่ต่าง ๆ ปีต่อมา เขาได้แสดงกับ แอนดริวส์ ซิสเตอร์ส์ ในละครเพลงบรอดเวย์เรื่อง Over Here! ในปี 1975 เขารับบทประกอบในหนังน่ากลัวเรื่อง The Devils Rain และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้รับบทวินนี่ บาร์บาริโน่ ในละครโทรทัศน์เบาสมองเรื่อง Welcome Back, Kotter ซึ่งทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในเวลาเพียงข้ามคืน จนเห็นหน้าของเขาอยู่บนเสื้อยืดและสินค้าต่าง ๆ มากมาย
นอกจากนี้เขายังได้รับบทเล็ก ๆ อีกบทหนึ่ง ในหนังคลาสสิคปี 1976 ของ ไบรอัน เดอพัลมา เรื่อง Carrie ตั้งแต่ก่อนที่ตอนแรกของ Kotter จะออกอากาศเสียอีก ซึ่งเป็นเหมือนประตูให้เขาก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างเต็มตัว ช่วงที่เขาฮอตสุด ๆ จาก Kotter เขายังได้ออกอัลบั้มเพลงป๊อปซีรีส์หนึ่ง ชื่อ LPs ซึ่งประกอบด้วยอัลบั้ม Cant Let Go, John Travolta และ Travolta Fever โดยเพลง Let Her In ได้รับความนิยมมาก ในปี 1976 เขาได้แสดงภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง The Boy in the Plastic Bubble ของ แรนดัล คลัยเซอร์ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์พอควร ในหนังเรื่องนี้ ไดแอน ไฮแลนด์ แสดงเป็นแม่ของจอห์น และยังเป็นคู่รักนอกจอกันจนกระทั้งไดแอนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 1977 และในช่วงนั้นเอง Saturday Night Fever หนังฟอร์มใหญ่เรื่องแรกของจอห์นก็ออกฉาย แล้วตามด้วย Rebel Without a Cause หนังดีสโก้ท่ามกลางสีสันชีวิตราตรีในมหานครนิวยอร์ค ที่ทำให้จอห์นกลายเป็นดาราหนุ่มสุดฮ็อตในฮอลลีวูด และยังส่งผลให้เขาได้รับรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก ตลอดจนกลายเป็นขวัญใจแห่งยุคนั้น ปีถัดมา เขาแสดงนำใน Grease เวอร์ชั่นหนังที่สร้างโดย คลัยเซอร์ หนังเรื่องนี้สามารถทำเงินได้สูงกว่า Saturday Night Fever เสียอีก
ในปี 1978 จอห์น ทราโวลต้า พลาดท่าครั้งแรกและครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตนักแสดงของเขา จากเรื่อง Moment by Moment เรื่องราวรักโรแมนติกช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม ที่เขาแสดงนำคู่กับ ลิลี่ ทอมลิน และถูกนักวิจารณ์สับเสียไม่มีชิ้นดี แถมยังทำรายได้ไม่ดีด้วย จากนั้น เขาบอกปัดรับบทหนัง American Gigolo ของ พอล ชาเรเดอร์ (ซึ่งต่อมาได้ ริชาร์ด เกียร์ มารับบทแทน) เพื่อที่จะไปเล่น Urban Cowboy (1980) ในบทคนงานแท่นขุดเจาะน้ำมันในเท็กซัส ซึ่งช่วยกอบกู้สถานะทางการเงินกลับมาให้เขาได้มากโข ปีต่อมา เขารับบทนำในหนัง Blow Out ของ เดอพัลม่า ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าที่ควร และทำรายได้น้อยกว่าที่หวังไว้ แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ในทางบวกมากที่สุดในจำนวนหนังทั้งหมดที่เขาเคยแสดงมา เขาปฏิเสธบทนำอีกครั้ง ในหนังเรื่อง An Officer and a Gentleman (ริชาร์ด เกียร์ ตามมาเก็บงานนี้อีกตามเคย) เพื่อที่จะไปรับบท โทนี่ มาเนอโร ใน Staying Alive ซึ่งเป็นหนังภาคต่อของ Saturday Night Fever โดยเป็นฝีมือการกำกับของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และได้ออกฉายในปี 1983 นับว่า จอห์น หวนคืนจอภาพยนตร์ได้ดีพอควร แต่ด้านรายได้ก็ยังน้อยกว่าที่คาดอยู่ดี จากนั้นอีกไม่กี่เดือน เขาก็มีหนังออกฉายอีกเรื่องหนึ่ง คือ Two of a Kind ซึ่งเขาได้กลับมาประชันบทบาทกับ โอลิเวีย นิวตั้น จอห์น อีกครั้ง หลังจากที่เคยแสดงคู่กันมาแล้ว ใน Grease อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง และเส้นทางของ จอห์น ทราโวลต้า ดูจะไม่ค่อยสวยหรูสักเท่าไร เขาหายหน้าหายตาไปจากวงการประมาณ 2 ปี แล้วกลับมาด้วยเรื่อง Perfect ในปี 1985 ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย เขาล้มลุกคลุกคลานเช่นนี้อยู่จนปี 1989 จึงมีผลงานเรื่อง The Experts ซึ่งความล้มเหลวจากเรื่องนี้เรียกว่าเป็นตะปูปิดฝาโลงของเขาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ลางดีเริ่มกลับมาในปีเดียวกันนั้นเอง เขาแสดงนำคู่กับ คริสตี้ อัลลีย์ ในหนังเบาสมองทุนสร้างเพียง 8 ล้านดอลล่าร์ เรื่อง Look Whos Talking แต่หนังเรื่องนี้กลับทำรายได้รวมคิดเป็นเงินถึง 150 ล้านดอลล่าร์ จนต้องมีภาคต่ออีกถึง 2 ตอน คือ Look Whos Talking Too ในปี 1991 และ Look Whos Talking Now ในปี 1993 แต่ชื่อของเขาก็เริ่มจมหายไปอีกครั้ง หลังจากนั้น เขาตกลงรับแสดงเรื่อง Pulp Fiction ของ เคว็นติน ทารันติโน่ ด้วยค่าตัวเพียง 140,000 ดอลล่าร์ หนังเรื่องนี้ ทารันติโน่ ซึ่งเป็นแฟนที่เหนียวแน่นคนหนึ่งของจอห์น ได้สร้างตัวละครชื่อ วินเซ็นต์ เวก้า ในหนังเรื่องนี้ขึ้นมาโดยคิดไว้ตั้งแต่เริ่มเขียนบทว่า ต้องให้ จอห์น ทราโวลต้า เป็นคนแสดง ผลหนังประสบความสำเร็จทั้งเสียงวิจารณ์และรายได้ ส่วน จอห์น ทราโวลต้า ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกหน และในระยะเวลาเพียงสองปีหลังจากนั้น ค่าตัวของเขาถีบตัวสูงถึงเรื่องละ 20 ล้านดอลล่าร์
ทารันติโน่ได้แนะนำให้จอห์นรับบทนำในเรื่อง Get Shorty (1995) ที่ผู้กำกับ แบร์รี่ ซอนเนนเฟลด์ ดัดแปลงจากเรื่องของ เอ็ลมอร์ เลนนาร์ด ว่ากันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ จอห์น แสดงได้ดีที่สุดตั้งแต่เขาแสดงหนังมา และยังเป็นหนังที่ได้รับความนิยมสูงมากอีกเรื่องหนึ่งด้วย เขาสานต่อความสำเร็จในครั้งนี้ ด้วยหนังแอ๊คชั่นเรื่อง Broken Arrow ของ จอห์น วู ตามด้วยเรื่อง Phenomenon ในช่วงฤดูร้อน และ Michael ในช่วงคริสมาสปีเดียวกัน ปีถัดมา เขาร่วมงานกับ จอห์น วู อีกครั้ง ในหนังตื่นเต้น เรื่อง Face/Off ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้นำให้เขามาแสดงเรื่อง Shes So Lovely ของ นิค คาสซาเวทส์ หลังจากแสดงเรื่อง Mad City ในปี 1997 จอห์น ทราโวลต้า ก็ได้ร่วมงานกับ ไมค์ นิโคล ในหนังเสียดสีการเมือง ชื่อ Primary Colors ตามด้วยหนังดัดแปลงจากหนังสือ เรื่อง A Civil Action และ เรื่อง The Generals Daughter ในปี 1999 ที่เขาร่วมแสดงกับ มาเดลีน สโตว์ ส่วนในปี 2000 เขามีหนังไซไฟเรื่อง Battlefield Earth ซึ่งสร้างจากนิยายวิทยาศาสตร์ของ แอล ร็อบ ฮับบาร์ด และอีกเรื่อง เป็นหนังเบาสมองที่เขารับบทเป็นผู้รายงานข่าวพยากรณ์อากาศทางโทรทัศน์ ซึ่งประสบปัญหาทางการเงิน ใน Lucky Numbers ซึ่งมี นอร่า เอฟรอน เป็นผู้กำกับ ส่วนหนังเรื่องล่าสุดของเขาที่ออกฉายในปี 2001 เป็นหนังแอ๊คชั่น เรื่อง Swordfish ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แฮลล์ เบอร์รี่
จอห์น ทราโวลต้า แต่งงานกับนักแสดงสาว เคลลี่ เพรสตัน ในปี 1991 เขาหลงใหลเรื่องเครื่องบินและการบินมาก จนตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่า เจตต์ เมื่อเดือนเมษายน ปี 2000 เคลลี่ได้ให้กำเนิดลูกคนที่สองกับจอห์น คือ เอลล่า บลิว