ถึงวันนี้ เดนนิส ฮ็อปเปอร์ เป็นขาประจำในบทที่น่าสนใจหลากหลายบทมากว่า 40 ปีแล้ว และได้สร้างชื่อให้กับตนเองพอสมควร ในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ระดับคุณภาพ แม้ว่าในช่วงทศวรรษ 1970s เขาจะห่างหายจากวงการไประยะหนึ่ง แต่การกลับมาของเขาก็ได้รับความสนใจและการต้อนรับอย่างดี และเขายังสามารถคว้าบทดี ๆ ในหนังที่มีอิทธิพลต่อวงการและยุคสมัยได้มากมายหลายเรื่อง
ฮ็อปเปอร์ประเดิมการแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่อง Rebel Without a Cause (1955) ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานตลอดการของวงการภาพยนตร์ ในหนังเรื่องสุดท้ายของ เจมส์ ดีน คือเรื่อง Giant (1956) ฮ็อปเปอร์ยังได้ปรากฏตัวในบทสมทบ ซึ่งส่งผลให้เขาได้ร่วมแสดงหนังคาวบอยตะวันตกอีกมากมายหลายเรื่อง ช่วงที่ถ่ายทำเรื่อง From Hell to Texas (1958) เขามีเรื่องทะเลาะวิวาทจนทำให้ถูกฮอลลีวูดแบนถึง 8 ปี เขาจึงย้ายไปนิวยอร์ค และขลุกอยู่กับงานละครเวทีและการถ่ายภาพ หลังจากได้ร่วมงานหนังอิสระ ซึ่งรวมถึงหนังแนวทดลองเรื่องหนึ่งของ แอนดี้ วาร์ฮอล แล้ว เขาก็ได้เดินทางกลับมายังฮอลลีวูดอีกครั้ง และได้แสดงหนังเกรดบีอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลงานของราชาหนังเกรดบี โรเจอร์ คอร์แมน
และแล้ว ก็ถึงเวลาของ Easy Rider (1969) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของยุคฮิปปี้อย่างชัดเจน ในเรื่องนี้ฮ็อปเปอร์เป็นผู้ร่วมเขียนบท ทั้งยังเป็นผู้กำกับและร่วมแสดงนำอีกด้วย โดยหนังได้สร้างกระแสคลั่งไคล้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ลังจากความสำเร็จครั้งนี้ ฮ็อปเปอร์ก็ได้เลือนลางไปกับหมอกควันของเหล้าและยาเสพย์ติด แต่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงตนเอง และหวนคืนสู่วงการอีกครั้งในยุคเอทตีส์ ในฐานะนักแสดงที่สุขุมและจริงจังอย่างมาก ซึ่งเขาก็ได้รับการตอบรับอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน เริ่มจากบทนักหนังสือพิมพ์ในหนังคลาสสิคเรื่อง Apocalypse Now (1979) แล้วตามด้วยหนังแปลกใหม่ เช่น Blue Velvet (1986), Hoosiers (1986), Colors (1988), True Romance (1993) ตลอดจนหนังกระแสหลักอย่าง Speed (1994), Waterworld (1995) และ EdTV (1999) นอกจากนี้ เขายังร่วมแสดงในเรื่อง Ticker ที่เพิ่งออกฉายในปี 2001 อีกด้วย