เจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ มีประวัติผลงานการอำนวยการสร้างภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่โด่งดังและเปี่ยมคุณภาพมาตลอด 40 ปี และเขากำลังจะขึ้นแท่นผู้อำนวยการสร้างที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลในทั้งจอเงินและจอแก้วด้วย ผลงานของเขา ที่มีโลโก้สายฟ้าฟาดที่คุ้นตากันดี ไม่เพียงแต่สร้างความยินดีให้กับผู้ชมทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวัฒนธรรมป๊อปตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ภาพยนตร์ วิดีโอและแผ่นเสียงของบรั๊คไฮเมอร์กวาดรายได้ไปทั่วโลกกว่า 16 พันล้านเหรียญทั่วโลก ในซีซัน 2005-6 เขาทำลายสถิติด้วยการส่งซีรีส์สิบเรื่องออกอากาศ ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โทรทัศน์เกือบ 60 ปี ภาพยนตร์ของเขา (ซึ่ง 19 เรื่องทำรายได้เกินกว่าระดับ 100 ล้านเหรียญในอเมริกา สามเรื่องติดอันดับท็อปเท็นตลอดกาล และสองเรื่องทำรายได้เกินพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศต่างประเทศ) และรายการโทรทัศน์ของเขา ได้รับการเสนอชื่อชิง 43 รางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้รับหกรางวัลออสการ์ ได้รับการเสนอชื่อชิงแปดรางวัลแกรมมี อวอร์ด ได้รับห้ารางวัลแกรมมี อวอร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิง 23 รางวัลลูกโลกทองคำ ได้รับสี่รางวัลลูกโลกทองคำ ได้รับการเสนอชื่อชิง 118 รางวัลเอ็มมี อวอร์ด ได้รับ 22 รางวัลเอ็มมี ได้รับการเสนอชื่อชิง 31 รางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ ได้รับ 15 รางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ ได้รับการเสนอชื่อชิง 12 รางวัลบาฟต้า ได้รับ 2 รางวัลบาฟต้า และได้รับรางวัลเอ็มทีวีหลายรางวัล ซึ่งรวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษจาก Beverly Hills Cop และได้รับ 20 รางวัลทีน ชอยส์ อวอร์ดอีกด้วย
แต่ตัวเลขเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะความสามารถของบรั๊คไฮเมอร์ในการค้นพบเรื่องราวและถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาบนแผ่นฟิล์มได้ วอชิงตัน โพสต์ พูดถึงเขาว่าเป็น ชายผู้มีกึ๋น เขาอาจจะเกิดมาเป็นแบบนั้น แต่ที่แน่ๆ พรสวรรค์ตามธรรมชาติของเขาถูกขัดเกลาจนคมกริบตั้งแต่การทำงานในช่วงเริ่มแรกของเขา ภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของเขาคือเรื่องราวที่มีความยาว 60 วินาทีที่เขาบอกเล่าออกมาในฐานะเป็นผู้อำนวยการสร้างโฆษณาของภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลมากมายในเมืองดีทรอยต์ บ้านเกิดของเขา หนึ่งในภาพยนตร์ฉบับย่อเหล่านั้น อันได้แก่ ผลงานล้อเลียนภาพยนตร์เรื่อง Bonnie and Clyde ที่เขาสร้างให้กับปอนเตียค ได้รับการยกย่องในเรื่องของความยอดเยี่ยมในนิตยสารไทม์และทำให้ผู้อำนวยการสร้างอายุเพียง 23 ปีผู้นี้กลายเป็นบุคคลที่บริษัทโฆษณาบีบีดีแอนด์โอ เกิดความสนใจและได้ติดต่อให้เขาเดินทางมาทำงานที่นิวยอร์ก
เวลาสี่ปีที่เมดิสัน อเวนิวได้มอบทั้งประสบการณ์และความเชื่อมั่นให้กับบรั๊คไฮเมอร์ที่จะรับมือกับฮอลลีวูด และบรั๊คไฮเมอร์ที่ขณะนั้นยังอายุไม่ถึง 30 ปี เป็นผู้ดูแลงานสร้างให้กับภาพยนตร์ที่น่าประทับใจอย่างเช่นเรื่อง Farewell, My Lovely, American Gigolo และภาพยนตร์ปี 1983 เรื่อง Flashdance ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของบรั๊คไฮเมอร์ไปด้วยการทำรายได้ในอเมริกาไปถึง 92 ล้านเหรียญ และทำให้เขาเข้าคู่เป็นหุ้นส่วนกับดอน ซิมป์สัน ที่กลายเป็นหุ้นส่วนในการอำนวยการสร้างของบรั๊คไฮเมอร์มานาน 13 ปี
พวกเขาร่วมมือกันอำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตเรื่องแล้วเรื่องเล่า อาทิเช่น Top Gun, Days of Thunder, Beverly Hills Cop, Beverly Hills Cop II, Bad Boys, Dangerous Minds, Crimson Tide และภาพยนตร์คัลท์เสียดสีเรื่อง The Refซึ่งนิตยสารเอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลียกย่องให้เป็นหนึ่งใน 50 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่คุณไม่เคยดู ในเดือนกรกฎาคม ปี 2012 ความสำเร็จทางด้านรายได้ของเขาทั้งสองเป็นที่ยอมรับทั้งในปี 1985 และ 1988 เมื่อทางสมาคมเจ้าของโรงภาพยนตร์ (NATO) ยกย่องให้บรั๊คไฮเมอร์เป็นผู้อำนวยการสร้างแห่งปี และในปี 1988 ทางสมาพันธ์ประชาสัมพันธ์แห่งอเมริกาได้เลือกบรั๊คไฮเมอร์กับซิมป์สัน ให้เป็นบุคคลแห่งวงการภาพยนตร์แห่งปี
ในปี 1996 บรั๊คไฮเมอร์อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Rock ที่ทำให้ฌอน คอนเนอรี่กลับคืนสู่ตำแหน่งดาราแอ็กชันยอดนิยมอีกครั้ง และยังปั้นให้นิโคลาส เคจกลายเป็นดาราแอ็กชันคนใหม่อีกด้วย The Rock ได้รับการยกย่องจาก NATO ให้เป็นภาพยนตร์ยอดนิยมแห่งปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไป 350 ล้านเหรียญ และเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่บรั๊คไฮเมอร์ร่วมงานกับซิมป์สัน ผู้เสียชีวิตไประหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ บัดนี้เมื่อต้องทำงานเพียงลำพัง บรั๊คไฮเมอร์ได้สร้างผลงานเรื่องใหม่ออกมาในปี 1997 ด้วยภาพยนตร์เรื่อง Con Air ที่ทำรายได้ไปถึง 230 ล้านเหรียญ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหนึ่งรางวัลแกรมมีและสองรางวัลออสการ์ และทำให้บรั๊คไฮเมอร์ได้รับรางวัลโชเวสต์ อินเตอร์เนชันแนล บ็อกซ์ออฟฟิศ อชีฟเมนต์ อวอร์ด อันเนื่องมาจากสามารถทำรายได้ในตลาดต่างประเทศได้อย่างไม่มีใครเทียบได้
ติดตามมาด้วยภาพยนตร์ของทัชสโตน พิคเจอร์ส ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Armageddon ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส, บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน, เบน อัฟเฟล็ค และสตีฟ บุสเซมี่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำกับโดยไมเคิล เบย์ เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของปี 1998 โดยสามารถทำรายได้จากทั่วโลกไปเกือบ 560 ล้านเหรียญ และทำให้เพลง I Dont Want to Miss a Thing ผลงานของแอโรสมิธขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตอีกด้วย
ในช่วงสิ้นสุดสหัสวรรษ บรั๊คไฮเมอร์อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Enemy of the State ที่นำแสดงโดยวิลล์ สมิธ และยีน แฮ็คแมน และเรื่อง Gone in 60 Seconds ที่นำแสดงโดยเคจ, แอนเจลิน่า โจลี่ และโรเบิร์ต ดูวัลล์ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องทำรายได้ทั่วโลกไป 225 ล้านเหรียญ, ภาพยนตร์เรื่อง Coyote Ugly ที่อัลบัมซาวน์แทร็คได้แผ่นแพลตินัมถึงสามแผ่น และภาพยนตร์รางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด เรื่อง Remember the Titans ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน กลุ่มผู้อำนวยการสร้างของสมาคมผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาต่างยอมรับในความเป็นอัจฉริยะของบรั๊คไฮเมอร์ด้วยการมอบรางวัลเดวิด โอ. เซลส์นิค อวอร์ด ความสำเร็จแห่งชีวิตด้านภาพยนตร์ ให้กับเขา
บรั๊คไฮเมอร์เริ่มต้นศตวรรษที่ 21 ด้วยภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสามรางวัลออสการ์เรื่อง Pearl Harbor ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นำแสดงโดยเอฟเฟล็ค, จอช ฮาร์ทเน็ตต์ และเคท เบ็คคินเซล และกำกับโดยเบย์ ได้รับการยกย่องจากอดีตทหารผ่านศึกและนักวิชาการเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองว่าเป็นการจำลองเหตุการณ์ที่นำสหรัฐอเมริกาไปสู่สงครามโลกได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆ มากมาย รวมไปถึงรางวัลออสการ์สาขาตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำรายได้จากทั่วโลกไปถึง 450 ล้านเหรียญ และสามารถทำยอดดีวีดีและวิดีโอไปสูงถึง 250 ล้านเหรียญ
Black Hawk Down เรื่องราวของการต่อสู้ในโมกาดิชูในปี 1993 นำแสดงโดยฮาร์ทเน็ตต์, อีริค บานา และยวน แม็คเกรเกอร์ และกำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์ ผลงานการดัดแปลงหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของมาร์ค โบว์เด้น เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆ มากมาย ได้รับสองรางวัลออสการ์และได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมมากมาย บรั๊คไฮเมอร์ได้หันไปสู่คอเมดีในปี 2003 ด้วยการเปิดตัวเรื่อง Kangaroo Jack ภาพยนตร์ตลกขบขันสำหรับครอบครัวที่ได้รางวัลเอ็มทีวี อวอร์ดสาขาการแสดงเสมือนจริงยอดเยี่ยมสำหรับเจ้าจิงโจ้
หลังจากนั้นในปี 2003 บรั๊คไฮเมอร์ได้เปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl ที่นำแสดงโดยจอห์นนี เด็ปป์, ออร์ลันโด้ บลูม, เจฟฟรีย์ รัช และเคียร่า ไนท์ลีย์ และกำกับโดยกอร์ เวอร์บินสกี้ ภาพยนตร์ตลก/ ผจญภัย/ รัก เรื่องนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไปกว่า 630 ล้านเหรียญ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 5 รางวัล และคลอดภาคต่อออกมาอีก 3 ภาคด้วยกันคือ Pirates of the Caribbean: Dead Mans Chest, Pirates of the Caribbean: At Worlds End และ Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ซึ่งได้รับความนิยมยิ่งกว่าภาคแรก
หลังจาก Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl แล้ว ภาพยนตร์ของบรั๊คไฮเมอร์ได้แก่ Bad Boys II, Veronica Guerin ที่นำแสดงโดยเคท บลังเช็ตต์ในบทนักข่าวสาวชาวไอริชที่ถูกฆ่าตายโดยแก๊งอาชญากรรมดับลินและ King Arthur ตำนานอาร์เธอร์ฉบับใหม่ที่นำแสดงโดยไคลฟ์ โอเว่น
ในปี 2004 ภาพยนตร์เรื่อง National Treasure ที่นำแสดงโดยนิโคลัส เคจ, ไดแอน ครูเกอร์, จอน วอยท์, จัสติน บาร์ธาและฌอน บีน ในการผจญภัยเกี่ยวกับการไขปริศนาของขุมทรัพย์ที่ถูกซ่อนไว้ ภายใต้การกำกับของจอน เทอร์เทลท็อบ เปิดตัวฉายภายใต้การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้ชมและสามารถทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า 335 ล้านเหรียญ
Glory Road เรื่องราวเกี่ยวกับดอน แฮสกินส์ โค้ชชาวเวสเทิร์น เท็กซัส ผู้นำทีมผู้เล่นบาสเก็ตบอลผิวสีล้วนไปสู่การชิงแชมป์เอ็นซีเอเอในปี 1966 เปิดตัวเมื่อตอนต้นปี 2006 นำแสดงโดยจอช ลูคัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลอีเอสพีวาย อวอร์ดสาขา ภาพยนตร์กีฬายอดเยี่ยมแห่งปี ประจำปี 2006 ส่วนมือเขียนบทของเรื่องก็ได้รับรางวัลฮิวแมนิแทส ไพรซ์จากผลงานที่ ถ่ายทอดความซับซ้อนของประสบการณ์มนุษย์อย่างตรงไปตรงมาและทำให้เราได้รับรู้ถึงคุณค่าแห่งชีวิตในแง่บวก
ซัมเมอร์ปี 2006 Pirates of the Caribbean: Dead Mans Chest ลงโรง มันแล่นฉลุยในทะเลสถิติด้วยการไม่เพียงเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้สูงสุดของบรั๊คไฮเมอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ด้วยรายได้ 132 ล้านเหรียญภายในสามวันแรกที่เปิดตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้เกินความคาดหมายด้วยรายได้ 55.5 ล้านเหรียญในวันแรกที่เปิดตัว รายได้ทั่วโลกกว่า 1.07 พันล้านเหรียญทำให้ Pirates of the Caribbean: Dead Mans Chest ขึ้นแท่นอันดับสามภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลและยังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์เพียง 18 เรื่องที่ทำรายได้เกินหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลก ซึ่งเป็นการสร้างปรากฏการณ์ระดับโลกอย่างแท้จริง บรั๊คไฮเมอร์ได้กลับไปร่วมงานกับผู้กำกับโทนี สก็อตอีกเป็นครั้งที่หกด้วยผลงาน Déjà vu ในปลายปี 2006 เรื่องราวของเจ้าหน้าที่เอทีเอฟผู้ตกหลุมรักหญิงสาวแปลกหน้า ขณะที่เขาเร่งแข่งกับเวลาเพื่อตามไล่ล่าฆาตกรของเธอ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน, จิม คาวีเซล, พอลลา แพตตันและวัล คิลเมอร์
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 Pirates of the Caribbean: At Worlds End ภาคสามของไตรภาคบล็อกบัสเตอร์ ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกพร้อมกัน At Worlds End ที่ทำลายสถิติรายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ต่างประเทศถึงเส้นห้าร้อยล้านเหรียญได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ พอถึงช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำรายได้ทั่วโลกกว่า 960 ล้านเหรียญ ซึ่งทำให้ At Worlds End กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดทั่วโลกประจำปีนั้น และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลอันดับหกในตอนนั้นอีกด้วย
National Treasure: Book of Secrets ซีเควลภาพยนตร์ฮิตของบรั๊คไฮเมอร์เมื่อปี 2004 ที่เข้าฉายในวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2007 และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจและกำกับโดยจอน เทอร์เทลท็อบอีกครั้ง เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยรายได้ในสุดสัปดาห์แรก 45 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าภาคแรกเกือบ 10 ล้านเหรียญ National Treasure: Book of Secrets ยังครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาติดต่อกันนานสามสัปดาห์และทำรายได้รวมสูงถึง 440 ล้านเหรียญ นอกจากเคจจะได้กลับมาร่วมแสดงกับทีมดาราจาก National Treasure อย่างจอน วอยท์, ไดแอน ครูเกอร์และจัสติน บาร์ธาแล้ว ในภาคนี้ เขายังได้ร่วมแสดงกับนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เฮเลน เมอร์เรนและผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลออสการ์ เอ็ด แฮร์ริสอีกด้วย
ผลงานหลังจากนั้นของเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ฟิล์มส์ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009 คือ Confessions of a Shopaholic โรแมนติกคอเมดี ซึ่งสร้างขึ้นจากนิยายขายดีโดยโซฟี คินเซลลา และนำแสดงโดยอิสลา ฟิชเชอร์ และกำกับโดยพี.เจ. โฮแกน (My Best Friends Wedding) ตามด้วยภาพยนตร์ยอดนิยมในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง G-Force ภาพยนตร์ผจญภัย 3D ที่มีเทคนิคแปลกใหม่ ซึ่งผสมผสานไลฟ์แอ็กชันและภาพ CG เข้าด้วยกันภายใต้การกำกับที่แปลกใหม่ของฮอยท์ ยีทแมน เจ้าพ่อวิชวล เอฟเฟ็กต์ เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้พากย์เสียงโดยนิโคลัส เคจ, เพเนโลเป้ ครูซ, เทรซี มอร์แกน, แซม ร็อคเวลล์, จอน แฟฟโรและสตีฟ บุสเชมี่ และการแสดงไลฟ์แอ็กชันโดยบิลล์ ไนฮีย์, แซ็ค กาลิฟิอานาคิสและวิลล์ อาร์เน็ทท์
ผลงานการสร้างภาพยนตร์ของเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ในปี 2010 สำหรับวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ยังคงคุณภาพตามแบบฉบับของผู้อำนวยการสร้างคนดังไม่เปลี่ยนแปลง Prince of Persia: The Sands of Time อีพิคแฟนตาซีผจญภัย ที่กำกับโดยไมค์ นีเวลล์ (Harry Potter and the Goblet of Fire) นำแสดงโดยเจค จิลเลนฮัล, นักแสดงหน้าใหม่ เจ็มมา อาร์เทอร์ทัน, เซอร์เบน คิงส์ลีย์และอัลเฟร็ด โมลินา Prince of Persia: The Sands of Time ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลกเรื่องนี้ได้กลายเป็นภาพยนตร์จากวิดีโอเกมที่ทำรายได้สูงสุดไปแล้วในขณะนี้ The Sorcerers Apprentice ภาพยนตร์ผจญภัยจินตนาการบรรเจิด ที่ได้รับแรงบันดาลใจสว่นหนึ่งมาจากเซ็คชันอนิเมชันที่คลาสสิกจาก Fantasia เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของบรั๊คไฮเมอร์และนิโคลัส เคจกับผู้กำกับจอน เทอร์เทลท็อบ หลังจากความสำเร็จใน National Treasure ร่วมด้วยเจย์ บารูเชล, อัลเฟรด โมลินาและเทเรซา ปาล์มเมอร์
จอห์นนี เด็ปป์ ในการแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดของเขา ได้หวนกลับมารับบทกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ใน Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ที่เข้าฉายในวันที่ 20 พฤษภาคม ปี 2011 ในรูปแบบดิสนีย์ ดิจิตอล 3D ผู้ที่ร่วมแสดงกับเด็ปป์ในการผจญภัยครั้งใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ ภายใต้การกำกับของร็อบ มาร์แชล (Chicago, Memoirs of a Geisha) คือเพเนโลเป้ ครูซ, เจฟฟรีย์ รัชและเอียน แม็คเชน ตัวเลข 256.3 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นรายได้ช่วงสุดสัปดาห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เปิดตัวรอบโลกไม่เพียงแต่เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในต่างประเทศสำหรับแฟรนไชส์นี้ แต่มันยังทำลายสถิติตลอดกาลของภาพยนตร์ที่เปิดตัวในต่างประเทศด้วย ภายในเวลาห้าวันแรก On Stranger Tides ทำรายได้ในประเทศและต่างประเทศรวมกันได้สูงถึง 346.6 ล้านเหรียญ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับสี่ของโลก มีรายได้เปิดตัวสูงสุดและมีรายได้ช่วงสุดสัปดาห์สูงสุดตลอดกาลในตลาดใหม่รัสเซีย และมีรายได้เปิดตัวในประเทศสูงสุดเป็นอันดับห้าในประวัติศาสตร์ยาวนานของวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ On Stranger Tides ทำรายได้ทั่วโลกเกินระดับ 600 ล้านเหรียญภายในเวลาเพียงแค่ 12 วัน ซึ่งเทียบได้กับสถิติก่อนหน้านี้ที่ทำไว้โดย At Worlds End ในปี 2007 และในสัปดาห์ที่สองที่เข้าฉาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังครองอันดับหนึ่งในกว่า 50 พื้นที่แม้จะเจอกับการแข่งขันที่ดุเดือดในช่วงซัมเมอร์ก็ตาม On Stranger Tides ติดตาม Dead Mans Chest และ At Worlds End ขึ้นไปติดอันดับท็อปเท็นบ็อกซ์ออฟฟิศตลอดกาลในวันที่ 20 มิถุนายน หนึ่งเดือนหลังจากที่มันเข้าฉายในโรงภาพยนตร์พอดี
Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แปดเรื่องในเวลานั้นที่ทำรายได้เกินระดับหนึ่งพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกในวันที่ 2 กรกฎาคม หลังจากที่เข้าฉายไม่ถึงเจ็ดสัปดาห์ เดินตามรอยเท้าของ Dead Mans Chest รวมแล้ว Pirates of the Caribbean ทั้งสี่ภาคทำรายได้ทั่วโลกประมาณ 3.7 พันล้านเหรียญทั่วโลก, 900 ล้านเหรียญได้จากโฮมวิดีโอและ 1.6 พันล้านเหรียญจากการขายสินค้า ทำให้มันเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกอย่างแท้จริง
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 มีการเริ่มต้นการถ่ายทำภาพยนตร์อีพิคผจญภัย The Lone Ranger ในนิวเม็กซิโก, อริโซนา, โคโลราโด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเนรมิตชีวิตใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับตำนานคลาสสิก ซึ่งทำให้ทีมงานเบื้องหลัง Pirates of the Caribbean สามภาคแรกได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง ได้แก่เจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์, ผู้กำกับกอร์ เวอร์บินสกี้และนักแสดงนำจอห์นนี เด็ปป์ ผู้ใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในบทตอนโต้อย่างเต็มที่ The Lone Ranger ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2013 ได้อาร์มี่ แฮมเมอร์ (The Social Network) มารับบทนำ ร่วมด้วยทีมนักแสดงนานาชาติ ซึ่งรวมถึงทอม วิลคินสัน, วิลเลี่ยม ฟิชท์เนอร์, แบร์รี่ เปปเปอร์, เจมส์ แบดจ์ เดล, รูธ วิลสันและเฮเลนนา บอนแฮม คาร์เตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์สาขาวิชวล เอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยมและเมคอัพทำผมยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลสมาคมวิชวล เอฟเฟ็กต์สาขาวิชวล เอฟเฟ็กต๋สมทบยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ จากการผสมผสานองค์ประกอบจริงๆ และ CG เข้าด้วยกันได้อย่างแปลกใหม่
ล่าสุด การถ่ายทำ Beware the Night ทริลเลอร์เหนือธรรมชาติที่โดดเด่น ได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน ปี 2013 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำตามโลเกชันในนิวยอร์ก ซิตี้ กำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง สก็อตต์ เดอร์ริคสัน (The Exorcism of Emily Rose, Insidious) และนำแสดงโดยอีริค บาน่าจาก Black Hawk Down, เอ็ดการ์ รามิเรซ, โอลิเวีย มันน์, โจเอล แม็คเฮลและฌอน แฮร์ริส Beware the Night มีกำหนดเข้าฉายโดยสกรีน เจมส์ในต้นปี 2015 ภาพยนตร์อีกเรื่องที่มีกำหนดจะเข้าฉายในปี 2015 คือภาคห้าของแฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean ที่ได้จอห์นนี่ เดปป์มารับบทกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ของเขาอีกครั้ง ภายใต้การกำกับของโจชิม รอนนิงและแอสเพน แซนด์เบิร์ก ผู้ซึ่งผลงานเรื่อง Kin Tiki ของเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำปี 2013 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ในวันที่ 6 ธันวาคม ปี 2013 มีการประกาศว่าเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ จะร่วมมือกับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส สตูดิโอที่เขาและดอน ซิมป์สันเคยร่วมกันสร้างผลงานที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของพวกเขามาก่อน ผลงานส่วนหนึ่งที่เขากำลังพัฒนาสำหรับพาราเมาท์คือภาพยนตร์ Beverly Hills Cop ใหม่ท่จะนำแสดงโดยเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ และ Top Gun 2 ที่เขาร่วมงานกับสกายแดนซ์ โปรดักชันส์ โดยทอม ครูซ นำแสดงอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น ในอนาคต ผลงานที่เขาสร้างสำหรับวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์คือภาคที่ห้าของ Pirates of the Caribbean ที่ได้จอห์นนี เด็ปป์มารับบทกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ และกำกับโดยโจคิม รอนนิง และเอสเพน แซนด์เบิร์ก ผู้ซึ่งผลงานเรื่อง Kon-Tiki ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2013 และรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม รวมถึงภาคที่สามของแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ National Treasure
บรั๊คไฮเมอร์นำพลังสายฟ้าฟาดมาสู่วงการทีวีในปี 2000 ด้วยซีรีส์ชุด C.S.I.: Crime Scene Investigation ที่นำแสดงโดยวิลเลียม ปีเตอร์เซ่น และมาร์ค เฮลเจนเบอร์เกอร์ ซีรีส์ชุดนี้กลายเป็นรายการทีวีอันดับ 1 โดยมีผู้ชมอาทิตย์ละ 25 ล้านคน และยังนำไปสู่สปินออฟอีกสองเรื่องได้แก่ C.S.I.: Miami ที่กลายเป็นซีรีส์ทางทีวีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในตลาดโลกในปี 2005 และเป็นซีรีส์ไพรม์ไทม์อันดับหนึ่งสำหรับซัมเมอร์ปี 2006 และ C.S.I.: NY ที่ช่วยให้ซีบีเอสกลับมาเป็นสถานีโทรทัศน์ชั้นนำอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายน ปี 2012 เทศกาลโทรทัศน์นานาชาติมอนติคาร์โลได้มอบรางวัลอินเตอร์เนชันแนล ทีวี ออเดียนซ์ อวอร์ดให้กับ C.S.I. ในฐานะซีรีส์ดรามาที่มีผู้ชมสูงสุดในโลก หลังจากที่เคยได้รับเกียรตินี้มาแล้วในปี 2007, 2008, 2010 และ 2011 โดย C.S.I.: Miami คว้ารางวัลไปได้ปี 2006 เท็ด แดนสัน นักแสดงเจ้าของรางวัลเอ็มมีและแกรมมีรับบทนำใน C.S.I.: Crime Scene Investigation ในเดือนกรกฎาคม ปี 2011 ทันเวลาสำหรับซีซัน 12 ของซีรีส์นี้พอดี และในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2012 อลิซาเบธ ชู ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดก็ได้ร่วมแสดงในซีรีส์นี้ด้วย
เจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ เทเลวิชันได้ขยายขอบเขตงานสร้างของพวกเขาด้วยการบอกเล่าเรื่องราวตื่นเต้นให้กับผู้ชมจำนวนมากด้วยซีรีส์ Without a Trace, Cold Case, Dark Blue (ผลงานเคเบิลเรื่องแรกของเขา) และ The Amazing Race ที่ได้รับเก้ารางวัลเอ็มมีติดต่อกันในสาขารายการเรียลลิตี้ ซึ่งก็คว้ารางวัลมาได้แปดครั้งติดต่อกัน
ในปี 2004 บรั๊คไฮเมอร์ติดอันดับ Time100 ซึ่งเป็นลิสต์รายชื่อผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของโลก และในปีเดียวกันนี้เอง เขายังได้รับเลือกให้ติดอันดับหนึ่งในฉบับผู้ทรงอำนาจของนิตยสารเอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลีย์ วาไรตี้ได้เลือกบรั๊คไฮเมอร์ให้เป็นโชว์แมนแห่งปี 2006 ของพวกเขา รางวัลนี้ ซึ่งตัดสินโดยบรรณาธิการและนักข่าวระดับแนวหน้าของวาไรตี้ จะมอบให้กับบุคคลผู้มีอิทธิพลสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ มีนวัตกรรมและ/หรือสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการบันเทิง
บรั๊คไฮเมอร์ได้รับรางวัลซาลุท ทู เอ็กซ์เซลเลนซ์ อวอร์ดจากมิวเซียม ออฟ เทเลวิชัน แอนด์ เรดิโอในปี 2006 จากคุณูปการที่เขามีต่อสื่อโทรทัศน์ และในปี 2007 สมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาก็ได้มอบรางวัลความสำเร็จนอร์แมน เลียร์ในโทรทัศน์ให้กับเขาจากผลงานจอแก้วที่น่าทึ่งของเขา
ในปี 2010 โชเวสต์ได้มอบรางวัลความสำเร็จแห่งชีวิตให้กับบรั๊คไฮเมอร์ โดยนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่เขาได้รับรางวัลจากโชเวสต์หลังจากที่เขาได้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างแห่งปีในปี 1985, 1988 และ 1999 รวมถึงรางวัลความสำเร็จด้านรายได้ในปี 1998 นอกจากนี้ ในวันที่ 17 พฤษภาคม ปี 2010 ในคืนฉายรอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง Prince of Persia: The Sands of Time เขาได้ประทับรอยมือและเท้าบนคอนกรีตหน้าโรงภาพยนตร์กรูแมน ไชนีส เธียเตอร์บนฮอลลีวูด บูเลอวาร์ด ในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง สถาบันภาพยนตร์อเมริกันได้ยกย่องบรั๊คไฮเมอร์ด้วยการนำเสนอผลงานบล็อกบัสเตอร์ของเขาห้าเรื่องพร้อมทั้งคำเกริ่นนำโดยนักแสดงหรือผู้กำกับของเรื่อง
ในปี 2012 บรั๊คไฮเมอร์ได้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างรายการแข่งขันยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาสำหรับ The Amazing Race รวมถึงรางวัลฮิวแมนิทาเรียน อวอร์ดจากไซมอน วีเซนธัล เซ็นเตอร์อีกด้วย
เจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ได้รับรางวัลทรงเกียรติอีกหนึ่งรางวัลในวันที่ 24 มิถุนายน ปี 2013 ในตอนที่เขาได้รับดวงดาวของตัวเองบนฮอลลีวูด วอล์ค ออฟ เฟม ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นอมตะในวงการบันเทิงของเขายิ่งขึ้น ในคืนวันที่ 12 ธันวาคม ปี 2013 เขาได้กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างคนแรกที่ได้รับรางวัลอเมริกัน ซีเนมาธิค อวอร์ด จากการที่ดาราและทีมงานสร้างสรรค์ผู้ที่บรั๊คไฮเมอร์ได้ร่วมงานด้วยตลอดหลายปีที่ผ่านมายกย่องบรั๊คไฮเมอร์จากคุณูปการที่เขามีต่อวงการบันเทิง หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง หนังสือขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า Jerry Bruckheimer: When Lightning Strikes Four Decades of Filmmaking ได้รับการตีพิมพ์โดยดิสนีย์ อิดิชันส์ โดยหนังสือเล่มนี้ได้บันทึกช่วงเวลา 40 ปีที่เขาทำงานอย่างน่าทึ่งด้วยภาพและบทความ
ในอัตชีวประวัติปี 2008 ของเธอในชื่อ In the Frame ท่านผู้หญิงเฮเลน เมอร์เรนได้เล่าถึงบรั๊คไฮเมอร์ ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง National Treasure: Book of Secrets ว่า อ่อนโยน ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี กล้าหาญ เขาพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงของคำพูดที่ว่า คนกล้าเท่านั้นที่ชนะ เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ประสบความสำเร็จจากงานหลากหลายแนวและหลากหลายรูปแบบเพราะเขาเป็นนักเล่าเรื่องคนเก่ง ที่กล้าเสี่ยง...และชนะแทบทุกครั้ง คอยมองหาสัญลักษณ์สายฟ้าฟาดไว้ให้ดี เรื่องราวที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะตามมาในไม่ช้า