'พรีม' ใส่ใจกับความคาดหวัง ทำงานเพื่อความสุขของคนดู
เพิ่งลาจอไปสด ๆ ร้อน ๆ สำหรับละคร "ทางผ่านกามเทพ" ผลงานล่าสุดของนางเอกสาววิกพระรามสี่ พรีม - รณิดา เตชสิทธิ์ ที่ต้องพิสูจน์ฝีมือทางการแสดง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่ละครยังไม่ทันลงจอ "ดาวต่างมุม" วันนี้เลยต้องนัดสาวพรีมมาพูดคุยถึงกระแสต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมไปถึงเรื่องราวในชีวิตของเธอ ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่อายุ 19 ปี หมาด ๆ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่ารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากทีเดียว
ที่มา: ดาวต่างมุม เดลินิวส์ / ภาพ: @jpreem (IG)
ก่อนอื่น พูดถึงฟีดแบ็กละครทางผ่านกามเทพหน่อย?
มีแต่คนบอกว่าผิดคาดกว่าที่คิดนะคะ ตอนแรกก็มีกระแสว่าจะโอเคไหม เพราะเวอร์ชั่นก่อนเขาทำไว้ดีมาก แต่พอละครออนแอร์ คนก็บอกว่าสนุกจนลืมเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นเก่าไปเลย อีกอย่างเราก็ดีใจที่คนชมว่าพรีมมีพัฒนาการดีขึ้น ส่วนพี่ ป๋อ - ณัฐวุฒิ สกิดใจ ก็เล่นได้กวนตามคาแรกเตอร์จริง ๆ กับเรื่องนี้ก็เป็นบทบาทที่พรีมไม่เคยเจอมาก่อน ปกติเราจะเจอแต่บทที่เป็นนางเอกเรียบร้อย ถ้าสู้ก็จะสู้ด้วยคำพูด แต่พอมาเรื่องนี้ตัวละครต้องมีความแก่นนิดนึง ต้องสู้ด้วยท่าทาง ต้องแกล้งกลับด้วย แล้วจะมีการปะทะด้วยอารมณ์และคำพูดค่อนข้างเยอะ อย่างที่รู้กันว่าพี่ป๋อเขาก็ฝีมือเทพจริง ๆ ตอนแรกก็รู้สึกเกร็งนิดนึงที่รู้ว่าจะต้องร่วมงานกัน แต่พี่เขาเป็นกันเองมาก ๆ ในขณะเดียวกันเขาก็มีความตั้งใจกับบทละคร และช่วยพรีมด้วย อย่างในเรื่อง จะมีฉากต้องตบ ทุบ ตี พี่ป๋อค่อนข้างเยอะ เขาก็จะสอนเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร ให้ออกมาเหมือนตบแรงจริง ๆ
บทนี้ใกล้เคียงกับตัวจริงของพรีม หรือแตกต่างอย่างไรบ้าง?
ใกล้เคียงนะคะ เพราะตามบทเราจะต้องไม่ยอมคน ยึดมั่นในความยุติธรรม ซึ่งพรีมก็เป็นแบบนั้น ถ้าอยู่ดี ๆ คนมากล่าวหาว่าเราไปทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วมาแกล้งเราแบบในละครเราก็คงไม่ยอม แล้วเราก็เป็นคนรักพี่รักน้อง ทำอะไรเพื่อครอบครัว อันนี้ก็ค่อนข้างตรง แต่ตัวละครตัวนี้จะแก่นมากเหมือนกัน แต่ชีวิตจริงเราคงไม่มีโอกาสได้ทะเลาะกับคนแบบนั้น
กับคำติชมต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ได้อ่านบ้างไหม?
ได้อ่านค่ะ แต่ไม่นอยด์ พอเราอยู่วงการไปเรื่อย ๆ เราจะรู้วิธีว่าทำยังไงให้สุขภาพจิตไม่เสียไปด้วย และในเวลาเดียวกันเราต้องรับคำติชมมาด้วย ต้องบาลานซ์กันคนละครึ่ง ว่าสิ่งที่เราทำไว้กับสิ่งที่เขาพูดออกมาตรงกันมากน้อยแค่ไหน แล้วก็หาจุดตรงกลางให้เจอ ซึ่งพรีมก็ชอบนะคะ ที่กระแสตอนแรกเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วพอตอนหลังกระแสมันพลิก เราก็อยากรู้ว่าผู้ชมคิดยังไง ทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิดได้ มีอะไรให้แก้ไขอีกไหม คือเราทำงานกับคนดู ยังไงเราก็ต้องรู้ว่าคนดูต้องการอะไร เราจะได้ทำงานให้เขาได้สบายขึ้น และเขาก็จะได้สนุกมากขึ้นกับสิ่งที่เราทำให้เขา
แล้วผลงานเรื่องอื่น ๆ มีอะไรอีกบ้าง?
มีละครเรื่องเดือนประดับดาวค่ะ ถ่ายทำไปได้ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว เรื่องนี้จะเล่นเป็นแฝด คนนึงเป็นนักแสดงซึ่งเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง อีกคนนึงเป็นสาวแนวพั้งค์ร็อก มาจากเมืองนอก แล้วก็จะมีการสลับตัวด้วย สำหรับเรื่องนี้พรีมเล่นกับพี่ ชาคริต แย้มนาม จริง ๆ พรีม เคยเจอพี่เขาในละคร "แม่ยายที่รัก" ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกของพรีม แต่ตอนนั้นเราเหมือนแค่พยายามที่จะเล่นละครให้เป็น พอมีโอกาสมาเล่นด้วยกันอีก พรีมก็รู้สึกว่าเราจะได้พิสูจน์ฝีมือตัวเอง เพราะเราเริ่มมีความรู้เรื่องการแสดงมากขึ้น น่าจะทันพี่ชาคริตมากขึ้นในการรับส่งอารมณ์กัน ถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่ท้าทาย
พรีมมักได้ร่วมงานกับพระเอกรุ่นใหญ่ หรือได้รับบทที่โตกว่าตัวเอง เป็นปัญหากับการแสดงไหม?
ไม่นะคะ พรีมรู้สึกดีด้วยซ้ำ พอเจอคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรจากเขา ได้วิชากับเก่ง ๆ ทำให้เรารับส่งอารมณ์ได้เก่งขึ้นด้วย แต่สำหรับคนดูแล้ว ก่อนที่ละครออกอากาศ ก็จะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์บ้างเล็กน้อย ส่วนเรื่องของบทบาทที่พรีมได้รับ คืออย่างช่อง 3 บทละครส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของวัยทำงาน และวัยครอบครัว พรีมเลยมักได้รับบทที่โตกว่าอายุอยู่แล้ว ไม่ใช่ซีรีส์วัยรุ่นที่เราเล่นเป็นเด็กมัธยมได้ แต่มาถึงจุดนี้เราก็ชินแล้ว ไม่ว่าจะได้ประกบกับพระเอกที่รุ่นใหญ่กว่า หรือได้รับบทที่โตกว่า ก็รู้สึกโอเค แล้วเราก็รู้สึกดีใจด้วย เพราะพอผู้กำกับหรือผู้จัดละครทราบว่าพรีมต้องมาเล่น คำพูดบางอย่างเขาก็จะปรับให้เข้าหาพรีม เหมาะกับอายุของพรีมด้วย
เผลอแป๊บเดียวอยู่วงการบันเทิงมา 4-5 ปีแล้ว?
ใช่ค่ะ เร็วมาก พรีมทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี ก็รู้สึกว่าวงการนี้ให้อะไรกับเราเยอะ ซึ่งเราเองเพิ่งมาเรียนรู้ช่วงหลัง ๆ นี่เอง ว่าวิธีการทำงานเป็นยังไง วิธีเล่นละครเป็นยังไง ตอนนี้ก็เลยเหมือนเริ่มสนุกกับมัน
แล้วเรื่องเรียนล่ะ?
ตอนนี้พรีมเรียน คณะนิเทศศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2 แล้วค่ะ เรียนสนุกดี แต่ก็มีที่ต้องขาดเรียน เพื่อไปถ่ายละคร ซึ่งถ้าช่วงไหนต้องเรียนซีเรียสจริง ๆ หรือมีสอบ ทางกองละครจะอะลุ้มอล่วย ให้ พรีมว่าจริง ๆ การทำงานไปด้วย และเรียนไปด้วยมันก็ไม่เชิงว่าเหนื่อยนะ แต่บางทีเราอาจสับสนกับตารางเรียน กับตารางงานบ้าง เพราะบางอย่างเราควบคุมไม่ได้ เช่นบางทีเราไม่สามารถแจ้งตารางสอบให้กองละครทราบล่วงหน้าได้ เลยอาจจะต้องมีลุ้นกันบ้าง เป็นอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่ะ แต่โดยรวมแล้วก็ยังสามารถจัดการได้
เห็นเพิ่งผ่านวันเกิดมาด้วย?
ปีนี้อายุ 19 แล้วค่ะ ก็ดีใจที่โตขึ้นมาอีกปีหนึ่ง พรีมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น อย่างเมื่อก่อนหลาย ๆ อย่างเราก็ไม่เข้าใจ ทำงานแค่นี้เหนื่อยแล้ว แอบมีงอแงบ้าง มีอะไรก็จะบอกให้แม่ช่วยหน่อย ทุกวันนี้ก็จะเหมือนมีความรับผิดชอบขึ้นมาเอง มีความเข้าใจกับการที่เราต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ว่าคนอื่นทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ แล้วเราก็มีเป้าหมายกับชีวิตมากขึ้น
แล้วเป้าหมายของพรีมตอนนี้คืออะไร?
เป้าหมายของพรีมคือ เราอยากจะพัฒนาเรื่องการแสดงให้ดีขึ้น เพราะพรีมเชื่อว่าเรายังพัฒนาได้อีก อยากจะทำให้ดีกว่านี้ แล้วก็คงจะเล่นละครไปเรื่อย ๆ เพราะเรารู้สึกว่าเราชอบงานตรงนี้ เลยคิดว่าอยากจะอยู่นาน ๆ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่พรีมจะทำได้
อยู่วงการมาตั้งนาน พรีมไม่ค่อยมีข่าวกับหนุ่ม ๆ เลย?
ตอนนี้ก็ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) เหมือนพรีมไม่เคยคิดที่จะโฟกัสกับเรื่องนี้ด้วยแหละ คือตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยก็มีคนเข้ามาคุยบ้าง แต่เราไม่ได้ตีความชัดเจนว่าเขาเข้ามาจีบ ก็รับทุกคนไว้เป็นเพื่อนหมด ส่วนหนุ่ม ๆ ในวงการ แก๊งพรีมจะมีสาว ๆ เยอะ อย่างพี่โม - มนชนก, พี่เบลล่า - ราณี ฉะนั้นถ้าจะมีใครเข้ามาก็จะมีคนช่วยสแกน รวมถึงผู้จัดการด้วย เพราะพี่ ๆ เขารู้จักคนเยอะ ซึ่งพรีมก็ไม่รู้หรอก ว่าใครถูกสแกนไปแล้วบ้าง
สเปกของพรีมเป็นยังไงบ้าง?
พรีมชอบคนเก่ง แล้วไลฟ์สไตล์เราต้องเข้ากันได้ พรีมทำงานในวงการ ก็อาจจะยุ่งหรือทำงานไม่เป็นเวลา คนที่จะเข้ามาต้องเข้าใจในตรงนี้ด้วย เขาต้องเป็นคนที่เป็นได้ทั้งเพื่อน ที่เราแกล้งได้ กวนได้ ขณะเดียวกันเขาก็ต้องให้คำปรึกษาเราได้ ต้องเป็นได้หลาย ๆ อย่างในคนคนเดียวกัน
แล้วตอนนี้มีใครเข้าข่ายสเปกที่ว่าหรือยัง?
ยังเลย คืออย่างที่บอกเราไม่ซีเรียสเรื่องนี้ เราไม่รีบเลย พรีมเป็นคนเชื่อในโชคชะตา ถ้าโชคชะตาให้เรามาแบบไหนเราก็ไม่จำเป็นต้องไปกำหนดมันมาก ถ้าวันหนึ่งโชคชะตาอยากให้ใครเข้ามาในชีวิตเรา เดี๋ยวก็คงมาเอง (ยิ้ม)
ไม่มีข่าวเรื่องหนุ่ม ๆ แล้วที่ผ่านมามีข่าวอะไรที่บั่นทอนจิตใจไหม?
ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่อง "นางเอกส้มหล่น - พระเอกตาโหล อัพโค้ก" ใช่ไหม พรีมยอมรับว่าเราตกใจ ครั้งแรกที่เห็นข่าวนี้รู้สึกว่าทำไมมีข่าวแบบนี้ไปได้ แต่ไม่ถึงขั้นกับเครียดเพราะไม่ใช่ความจริง แต่สิ่งที่เราเป็นห่วงและกังวลทุกครั้งคือ คนที่ชื่นชอบเราเขาจะมองเรายังไง บางทีก็ไม่ใช่ข่าวที่เป็นจริง และก็มั่นใจมากว่าไม่ใช่สิ่งที่เราทำ แต่แค่มีชื่อของเราอยู่ในนั้น ก็ทำให้คนที่ติดตามเราหรือรู้จักเราเชื่อไปแล้วนิดนึง ซึ่งเราก็ไม่อยากให้คนมองเราอย่างนั้น เหมือนเราไปทำร้ายความหวังเขา พรีมไม่อยากให้คนที่ติดตามและชื่นชอบในสิ่งที่พรีมเป็นมาตลอด ต้องผิดหวังหรือเสียใจในข่าวที่มันไม่จริง ส่วนกับครอบครัว เราไม่มีปัญหาเลย เพราะจะไปไหนหรือจะทำอะไรเราก็บอกตลอด เราสนิทกันและรู้จักนิสัยกันดี ว่าข่าวแบบนี้ไม่ใช่พรีมแน่นอน ก็แค่ตกใจไปด้วยกัน
พรีมมีวิธีจัดการกับข่าวแบบนี้ยังไง?
วิธีจัดการของพรีมกับเรื่องแบบนี้ ถ้ามีโอกาสได้สัมภาษณ์ ก็คงจะชี้แจงว่าไม่จริง แต่ถ้าไม่มีโอกาสได้พบสื่อ พรีมก็จะนิ่ง ๆ นะคะ ไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ รอให้เวลาผ่านไป เดี๋ยวเวลาก็จะพิสูจน์เอง
การเป็นดารา ในยุคโซเชียลมีเดีย สำหรับพรีมยากไหม?
พรีมว่าโซเชียลฯเป็นสิ่งที่ทำให้คนดูสามารถเข้าถึงดารานักแสดงได้ง่ายขึ้น และเราเองก็สามารถเข้าหาคนดูได้ง่ายขึ้นโดยตรง ซึ่งก็เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีนะ พรีมคิดว่าถ้าคนดูเขาเลือกที่จะติดตามเราทางโซเชียลฯ แสดงว่าคนดูก็ต้องชื่นชมเราอยู่ระดับหนึ่ง เพราะเขาตั้งใจที่จะมาดู มาฟอลโล่เรา เขาต้องชื่นชอบเรามากกว่าคนที่ไม่ได้กดติดตามเรา ส่วนในชีวิตประจำวันก็ทำให้เรารู้สึกว่าจะไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องระวังตัวมากขึ้น อย่างเราอยู่ข้างนอกก็ไม่ใช่คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ เพราะ ณ เวลานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเราคนเดียวแล้ว มีโทรศัพท์ตั้งกี่เครื่องที่จับตามองเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องนึกถึงคนดูมากขึ้น คนรอบข้างมากขึ้นด้วย
คติการใช้ชีวิตของพรีม - รณิดา คืออะไร?
พรีมใช้คำว่า YOLO (โยโล่) ย่อมาจาก You Only Live Once (ยู โอนลี ไลฟ์ วัน) คือ คุณมีชีวิตแค่ครั้งเดียว แต่ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าเราทำอะไรก็ได้นะ แต่คือเราไม่รู้หรอกว่าชาติหน้าเราจะเกิดมาเป็นอะไร ทุกอย่างที่เราเจอตอนนี้ เราอาจจะได้เจอแค่ครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้าย เพราะฉะนั้นพรีมจะถือคติว่าทุก ๆ ครั้งที่มีโอกาสเข้ามา พรีมจะคว้ามันไว้ ก่อนที่เราจะเสียดายทีหลัง
* ดูประวัติ พรีม - รณิดา เตชสิทธิ์
* ดูอัลบั้ม พรีม - รณิดา เตชสิทธิ์
|