'เกรซ' ขอยืนด้วยลำแข้ง ไม่หวังพึ่งผู้ชายรวย
ช่วงที่ผ่านมานักแสดงน้ำดีอย่าง เกรซ - กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า นั้นโดนมรสุมข่าวอย่างหนัก หลังจากที่ต้องอกหักรักคุดเลิกราไปกับไฮโซหนุ่ม ก้อง-กรุณ ซอโสตถิกุล แต่สาวเกรซก็ผ่านปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ วันนี้ “ดาวต่างมุม” มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอแบบเจาะลึก ซึ่งเธอกำลังจะมาในบทบาทใหม่กับการเป็นเจ้าของธุรกิจครั้งแรกของเธอกับธุรกิจอาหารเสริม "อินไวท์" ที่เธอบอกว่าทุ่มหมดทั้งตัวและหัวใจ
ที่มา: ดาวต่างมุม เดลินิวส์
ตอนนี้หัวใจเป็นยังไงบ้าง?
"ตอนนี้จิตใจถือว่าโอเคนะคะ เพราะในจุดที่เราโตขึ้น พอเราเริ่มทำงานแบบนี้ เรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าคนอื่น แต่ต้องทำหลายบทบาท หลากหลายหน้าที่มาก ทำงานเหนื่อยกลับบ้านก็สลบทุกวัน เพราะเกรซทำเองแทบทุกอย่าง แม้แต่ดีเทลเล็ก ๆ ดังนั้นช่วงเวลาของการคิดเรื่องอื่น ๆ มันก็จะน้อยลง อาจจะมีเหงาบ้าง แต่ชีวิตมันก็ต้องโตขึ้น ความรับผิดชอบมันค้ำคอ ถือว่าเป็นช่วงที่หนักและช่วงที่พีคที่สุดเลย เพราะว่าเกรซไม่เคยเป็นเจ้าของธุรกิจ พอมาทำก็ทุ่มหมดทั้งตัว ไม่ว่าเงินที่มี ความสามารถ ความรู้ที่ได้เรียนมา เลยไม่ได้มีเวลาคิดเรื่องอื่นสักเท่าไหร่"
มรสุมข่าวที่ผ่านมามีวิธีรับมือยังไง?
"เกรซเป็นคนที่จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ง่ายมาก เกรซเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก ต่อให้เจอเรื่องแย่ ๆ ก็อาจจะมีเสียใจบ้าง แต่ว่าเกรซสามารถจัดการกับมันได้ เพราะเกรซรู้สึกว่าเราต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองว่า ถ้าเกิดมีข่าวอะไรแย่ ๆ ขึ้นมา และมันเกิดไปแล้ว มันไม่ใช่ความจริง และไม่ได้เกิดจากเรา เราควบคุมไม่ได้ ก็จบ สิ่งที่เราควบคุมได้คือตัวเรา ในสิ่งที่เราจะพูด ในสิ่งที่เราจะตอบ ความเป็นจริงที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าคืออะไร เราก็สามารถจะพูดได้แค่นั้น เรารับผิดชอบในส่วนนั้นได้ ส่วนอื่นที่เราไม่ได้ทำ นอกเหนือที่เราคอนโทรลได้ เราก็ต้องปล่อย เดินหน้าไป เราจะมานั่งเก็บคิดทุกอย่างว่าทุกคนจะต้องรู้สึกดีไปกับเรา จะต้องมานั่งคิดแทนทุกคนว่าจะรู้สึกอะไรกับเรายังไงไหม มันก็เป็นเรื่องยาก"
บทเรียนครั้งที่ผ่านมาสอนอะไรกับเราบ้าง?
"มันก็ถือเป็นข่าวที่ไม่ดี ไม่ถึงขั้นรุนแรงว่าไปฉาวอะไรขนาดนั้น แต่ก็ถือว่ามีผลกระทบ อย่างข่าวไปกิ๊กพระเอกช่อง 7 แต่มันก็ไม่มี ถ้ามีคงต้องมีอะไรหลุดมาบ้างแล้ว นักข่าวต้องจับมาได้แล้ว แต่นี่ไม่มีก็เหมือนเป็นการพิสูจน์ไปในตัวว่ามันไม่ใช่ด้วย ทุกอย่างมันก็อยู่ที่ใจเรามากกว่า คุณพ่อจะสอนเกรซไม่ให้มองโลกในแง่ร้าย ถ้าเกิดอะไรขึ้นปล่อยได้ก็ปล่อยไป เพราะสุดท้ายคนที่แบกไว้คือตัวเรา จะแบกให้มันเกิดความรู้สึกแย่ทำไม ถ้าเรากลัวคนนั้นคนนี้จะเข้าใจผิด คนกี่ล้านคนที่อ่านข่าว เราไม่สามารถไปตามแก้ข่าว ไปอธิบายว่าความจริงเป็นอย่างนี้ต่างหาก เราก็ต้องปล่อยไป เอาแค่คนที่รักเรา แคร์เรา เกี่ยวข้องกับเรารู้ก็พอแล้ว คุณพ่อก็จะชิลชิลแต่คุณแม่จะรู้สึกเพราะเห็นว่าเราเป็นลูกผู้หญิง อย่างข่าวที่ว่า อยากได้ทุกอย่างก็มาปรนเปรอให้ มันไม่ใช่ความจริงเลย บ้านเกรซไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ เกรซยังสามารถใส่เสื้ออะไรก็ได้ กินข้าวที่ไหนก็ได้ ไม่เคยเรียกร้องขอให้ใครมาซื้อของอะไรให้เลย"
หลังจากที่ความรักครั้งนี้ล้มเหลวไป มุมมองความรักเปลี่ยนไปไหม?
"ตอนนี้มันฟิกแล้วค่ะ หลังจากที่เกรซทำธุรกิจ ก็ต้องการคนที่เข้าใจในตัวเราจริง ๆ คือเวลาเรามีเท่านี้ เราไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้แล้ว ถ้าจะมีความรักจริง ๆ มันมีได้นะคะ แต่ว่าถ้ามีแล้วมันทำให้สมาธิของเราเสีย หรือบั่นทอนช่วงเวลาที่เราจะรับผิดชอบงานลงไป เกรซก็ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น อยากให้ตัวเองทำได้เต็มที่จริง ๆ และตอนนี้เกรซเรียนด้านเอนไซม์ เอจจิ้ง อยู่ก็ต้องใช้เวลาเยอะ ต้องเขียนหนังสือเกี่ยวกับบิวตี้อีก ต้องมีไปสัมมนาตามที่ต่าง ๆ คุณพ่อก็จะไปบวชด้วย เลยต้องใช้เวลาทั้งหมดที่มีให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะมีได้ ตอนนี้เป็นช่วงที่เราต้องโต เพราะฉะนั้นความรักครั้งต่อไปก็ต้องเป็นในแบบผู้ใหญ่แล้ว แต่ตัวเกรซก็มีความขี้เล่น ตลก มีมุมที่ไร้สาระ เวลาที่อยู่กับเพื่อนก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เวลาที่เราทำงานก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถามว่าอยากจะมีความรักอีกครั้งหนึ่งไหม ก็อาจจะมี แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ เราไปกำหนดโชคชะตาไม่ได้หรอก ว่าอยากมีตอนนี้ ไม่อยากมีตอนนั้น แล้วถ้าอยากมีแล้วเขาไม่มาล่ะ คือเกรซก็ไม่อยากไปคิดซีเรียสอะไรตรงนั้น ถ้าจะมีมาก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ"
ถ้าต้องรับผิดชอบเยอะแบบนี้ เราเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนคุณพ่อที่จะไปบวชเลยหรือเปล่า?
"หัวหน้าครอบครัวยังเป็นคุณแม่นี่แหละค่ะ แต่เกรซก็เป็นพี่ใหญ่ ไม่อยากจะใช้คำว่า ท่านจะไปบวชตลอดชีวิต เอาเป็นว่าใช้คำว่าไม่มีกำหนดสึกแล้วกันค่ะ เพราะเราก็ไม่รู้ ท่านเองก็แก่แล้วอายุ 69 แล้ว มันเป็นความใฝ่ฝันของเขา มันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจ ตอนชีวิตวัยรุ่น เขาก็เป็นเด็กนอกอยู่อเมริกา ใช้ชีวิตแบบสุดขีด แต่พอกลับมาอยู่เมืองไทย มีลูกมีครอบครัวก็ค่อย ๆ เลิกทีละอย่าง เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ จนไปอ่านหนังสือธรรมะของหลวงตาบัว ก็เกิดความศรัทธา ปฏิบัติธรรมมาตลอดเกินครึ่งชีวิตของท่านแล้ว วัดที่คุณพ่อจะไปบวชก็เป็นวัดป่าที่เขาใหญ่ เกรซก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เราจะได้เอาตัวไปเข้าใกล้ธรรมะมากขึ้นด้วย แล้วเกรซไม่อยากมองว่าเป็นภาระ คือเกรซมีความสุขในการที่จะรับผิดชอบอะไรแบบนี้ เพราะเกรซไม่เคยเลย ที่ผ่านมาคือถ่ายละครอย่างเดียว ถ่ายเอาจำนวนด้วยซ้ำ ตอนนี้เราจะเล่นละครเรื่องอะไรสักเรื่อง เราต้องคิดแล้วว่ามันจะดีไหม อยากเล่นไหม เราอยากจะตื่นตี 5 เพื่อไปถ่ายละครเรื่องนั้นหรือเปล่า มีความสุขกับบทนั้นหรือเปล่า คือตอนนี้เกรซมีเวลาจำกัด ต้องเลือกทำในสิ่งที่เราอยากจะทำจริง ๆ อย่างที่ผ่านมาไม่รับละครแต่โชคดีของเกรซคือช่องเข้าใจ เกรซขอเขาหยุดไป 6 เดือน เพื่อที่จะมาทำธุรกิจและใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้เต็มที่ และหลังจากนี้ก็จะรับละครแล้วค่ะ แต่ไม่เฟดตัวแน่นอนค่ะ เพราะงานในวงการคือสิ่งที่เกรซรัก"
เป็นมือใหม่ทำธุรกิจต้องเรียนรู้อะไรบ้าง?
"เกรซเรียนรู้เยอะมากค่ะ โชคดีที่เกรซเรียนมาทางด้านการสื่อสารการตลาด เกรซทำทุกอย่างเอง ทั้งแบรนดิ้ง มาร์เกตติ้ง คือเกรซใช้ทุกอย่างที่เกรซเรียนมาทำทั้งหมด เกรซสร้างรากฐานของแบรนด์นี้เพื่อเป็นธุรกิจระยะยาว ไม่ใช่ทำเพื่อตามกระแสของดารา แต่ที่ทำเพราะ เกรซมีความรู้จริง ๆ และอยากแชร์เคล็ดลับบอกต่อสิ่งดี ๆ ให้กับคนที่อยากจะมีผิวขาวใสแบบเรา ตอนนี้เกรซเปิดบริษัทของเกรซ ชื่อว่า KK STORY มาจากชื่อ กาญจน์เกล้า เกรซต้องวางรากฐานให้ค่อนข้างแน่น จึงต้องใช้เวลา 2 ปีในการทำตัวนี้ ถ้าไม่หยุดรับละครทำไม่ได้แน่ เกรซทุ่มเทมาก เพราะเกรซมีโอกาสครั้งเดียว ถ้าเกรซจะทำเกรซต้องทำจริง ๆ"
เวลาทำงานเหนื่อย ๆ เอากำลังใจมาจากไหนบ้าง?
"ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผ่านทุกข์สุขมาเยอะมาก เพราะเป็นเวลา 2 ปี มันอยู่ในช่วงที่เกรซกำลังจะโต และเป็นภาคบังคับที่ต้องโตไปกับมัน เพราะฉะนั้นจะมีความรู้สึกท้อแท้ เหนื่อย ยอมแพ้ มันก็ต้องเริ่มใหม่ ต้องตัดสินใจ ก็เลยต้องหยุดรับละคร ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะไม่เดิน เพราะเราจะก้าวไป เราจะก้าวด้วยตัวเอง ถ้าเกรซเป็นผู้หญิงที่คิดจะแต่งงานกับผู้ชายรวย ๆ ก็ไม่ต้องมานั่งทำให้เหนื่อยหรอก เป็นดาราสวย ๆ ก็แต่งงานกับใครก็ได้ แต่เกรซไม่ได้คิดอย่างนั้นไง คุณพ่อคุณแม่สอนด้วยซ้ำว่าอย่าคบผู้ชายรวย เพราะเขามีสิทธิที่จะทำให้เราเสียใจได้เยอะกว่า เกรซเลยคิดว่าชีวิตนี้เกรซต้องยืนได้ด้วยตัวของเกรซเอง เงินของคุณพ่อคุณแม่ของครอบครัว มันมีค่ะ ทรัพย์สมบัติมันมี แต่วันหนึ่งก็ต้องหมดไป ถ้าเราไม่หามาเพิ่ม ถือเป็นโชคชะตาของเกรซที่ดีที่คุณพ่อจะไปบวชในครั้งนี้เลยทำให้ตัวเกรซมีแรงฮึกเหิม มีแรงจูงใจที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าเราจะต้องเสียบางอย่างไป แต่เราก็จะต้องได้อีกอย่างหนึ่งกลับคืนมา"
ต่อไปการรับละครจะเป็นไปในทิศทางไหน?
"สำคัญมากค่ะ เพราะมันจะต้องเป็นอะไรที่เกรซตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเล่นมัน อยู่กับมันทั้งวัน ถ้าเรารับละคร ถึงแม้ละครนั้นไม่ใช่โปรดักชั่นของเรา แต่เราก็มีส่วนผลักดัน มันจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็อยู่ที่เรา ค่อนข้างที่จะคิดเยอะ คือโตขึ้นมันไม่สนุกเลย ต้องรับผิดชอบทุกอย่างมากขึ้น เสี่ยงมากขึ้น แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เหน็ดเหนื่อยอะไร เราอาจจะอยากมีความรู้สึกที่อยากจะสนุกกับเพื่อนบ้าง แต่หากกลับมาสู่โลกของความจริงแล้ว เราพบว่า เรามีแค่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่ทิ้งไว้ให้ แต่เราไม่ได้ยืนด้วยตัวเองอย่างสง่างาม"
แสดงว่าเป็นคนที่อยากสร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเอง?
"ใช่ค่ะ เกรซเป็นคนแบบนั้น และเป็นคนทำอะไรก็ทำด้วยตัวเอง เกรซสามารถเดินชอปปิง กินข้าว ทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียวได้สบายมาก เกรซถึงโอเคในจุดที่ว่า ถ้าเราไม่ได้มีความรักในตอนนี้ก็โอเค เพราะเรามีเรื่องต้องคิดเยอะมากจริง ๆ อย่างทำตรงนี้มันสเกลใหญ่ ทุกเวลามันมีค่า เราจะมานั่งเล่นไม่ได้ คนเราถ้าจะต้องทำอะไรจริง ๆ มันก็ต้องเป็นแบบนี้ค่ะ มันจะต้องมีแรงผลักดันที่จะต้องทำ หรือถ้าไม่ได้มีแรงผลักดันหรือไม่ได้มีเหตุผลที่จะต้องทำ ก็จะทำได้ไม่เต็มที่"
ท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงแฟน ๆ
"ต้องขอบคุณมาก ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมามีคนเข้ามาให้กำลังใจเยอะมาก เกรซต้องขอขอบคุณมากจริง ๆ เราสัมผัสได้ถึงเวลาที่เราท้อแท้ ก็ยังมีคนที่คอยให้กำลังใจ ในจุดของคนที่เขาไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เกรซถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องมาคิดให้กระทบกระเทือนจิตใจเรา เกรซเสียใจ แต่เราไม่อยากจะทำให้ทุกอย่างมันแย่ไปกว่านี้ ถ้าเรามานั่งเสียใจก็มีแต่เรื่องแย่กว่าเดิม มองไปไกล ๆ ดีกว่า และทำในสิ่งที่เราจะต้องทำดีกว่า ทำให้ตัวเกรซต้องมองไปข้างหน้า เราล้มไม่ได้ เพราะเรามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราจะต้องทำ"
* ดูประวัติ เกรซ - กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า
* ดูอัลบั้ม เกรซ - กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า
|