'มิ้นต์' มองอดีตเป็นบทเรียน ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์คน
ที่ผ่านมามีข่าวคราวรุมเยอะพอสมควรกับพระเอกคนดัง หมาก-ปริญ สุภารัตน์ แต่นางเอกสาว มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง ก็สามารถก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาได้ เพราะมีครอบครัวที่ดีคอยให้กำลังใจ ณ วันนี้เรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว มิ้นต์เลยขอเปิดใจกับ “บันเทิงเดลินิวส์” ขณะที่มาร่วมงาน “ปาร์ตี้สานฝัน...มหัศจรรย์ผมยาวสวย” ณ รีสอร์ทในฝัน ศรีพันวา ภูเก็ต ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ “ซันซิล” ท่ามกลางบรรยากาศทะเลที่สวยงาม ทำให้การพูดคุยนั้นสุดจะชิล ถามไถ่กันได้ทุกเรื่องจริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความรักกับไฮโซคนดัง ภูผา เตชะณรงค์
ที่มา : ดาวต่างมุม เดลินิวส์
ช่วงที่ผ่านมาถึงจะมีข่าวผ่านเข้ามาเยอะ แต่ก็โชคดีเรื่องงานตลอด?
"ก็เรื่อย ๆ คือมิ้นต์ไม่ได้มาแบบก้าวกระโดด มิ้นต์ค่อย ๆ มาทีละขั้น ที่ผ่านมามันก็อาจจะมีข่าวโน่นนี่นั่น แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ข่าวที่ผ่านมาก็ให้บทเรียนหลายอย่าง อยู่วงการนี้มาตั้งแต่ 9 ขวบ ตอนนี้ก็เกือบ 10 ปี ได้ ก็สอนทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความอดทน คนรอบข้างทุกอย่างเลย มิ้นต์ว่าวงการนี้ให้อะไรหลายอย่างกับชีวิตเรา ทั้งความสุขมันก็มี ความอึดอัดใจมันก็มี เราได้เรียนรู้เร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันเพราะเราได้มาทำงาน ได้เจอคน เรื่องงานก็ถือว่าโชคดี เพราะผู้ใหญ่ก็เห็นเราตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วทุกคนก็สอน มิ้นต์คิดว่านี่แหละ คือกำไรในการเป็นนักแสดงของมิ้นต์แล้ว จริง ๆ มิ้นต์เจอข่าวมาตั้งแต่อายุ 10 กว่า ๆ ก็มีข่าวแรง ๆ ตอนนั้น ถามว่ามันเยอะไปไหม มันก็เยอะไป เพราะเวลาไปโรงเรียนเพื่อนก็เอามาล้อ อย่างเรื่องข่าวสาดเหล้า เขาก็เอามาล้อ เพราะคนเขาไม่รู้ที่มาที่ไป คนก็เลยมองว่าเราแรง"
มีการจัดการกับข่าวที่ผ่านมายังไง?
"แม่สอนมิ้นต์ว่า ที่ลับที่แจ้งให้ทำเหมือนกัน เพราะว่าความลับไม่มีในโลก มิ้นต์เลยคิดว่าอะไรที่ใช่เราก็บอกว่าใช่ อะไรที่มันไม่ใช่เราก็บอกออกไปว่ามันไม่ใช่ แต่วิจารณญาณของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะไปบอกให้ทุกคนเชื่อเราก็ไม่ได้ พอเวลาผ่านไปคนเขาจะเห็นเองว่ามันจริงหรือไม่จริง อย่างข่าวที่ผ่านมา รู้สึกเฟลค่ะ เป็นข่าวที่เรียกว่าแย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมา และไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอ ตัวมิ้นต์เองตอนนั้นอยู่ในช่วงสอบก็ค่อนข้างหนัก เพราะวันที่รู้มิ้นต์เพิ่งออกจากห้องสอบ แล้วก็เห็นว่าแชตมันหลุดออกไป ก็เตรียมรับมือค่ะ แต่ก็ยังตัน วันนั้นก็กินข้าวไม่ลง เครียด ตัวร้อน เป็นไข้ ประกอบกับวันนั้นผู้ใหญ่ก็เรียกเข้าไปคุยด่วน แล้วเขาก็บอกว่ายังไม่อยากให้เราพูดอะไร ใจจริงมิ้นต์ก็อยากออกมาพูด เพราะทุกคนก็ตามหาตัวเรา แต่ด้วยเพราะเราเป็นเด็กของช่อง เราต้องทำตามที่ผู้ใหญ่บอก แต่ในที่สุดก็ผ่านมาได้ค่ะ อย่างเพื่อน ๆ ในวงการก็ให้กำลังใจว่า วันนี้มันอาจจะมีมรสุมมารุม แต่ถ้าผ่านมันไปได้ก็ถือว่ามันเป็นบทเรียนของชีวิตเรา"
ให้กำลังใจตัวเองยังไงบ้าง?
"มิ้นต์คิดว่าอะไรที่มันใช่ เราก็บอกว่าใช่ค่ะ คือมิ้นต์ไม่ใช่เด็กที่ไม่ยอมอ่านคอมเม้นต์หรืออะไร คือเราต้องเปิดใจรับ มิ้นต์ไม่ได้เรียกว่าให้กำลังใจตัวเอง แต่เรียกว่ายอมรับมันดีกว่า คือพอมันหลุดมาแล้ว เราก็ต้องมาแก้ปัญหาว่าหลุดแล้ว เราจะทำยังไงต่อมากกว่า กับข่าวคนในครอบครัวค่อนข้างโกรธค่ะ แต่เราต้องใจเย็น และบอกทุกคนว่าใจเย็น ๆ นิ่งก่อนดีกว่าค่อย ๆ หาทางแก้ปัญหา แล้วทุกคนก็โอเค"
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ต้องระมัดระวังอะไรมากขึ้นไหม?
"ก็ระมัดระวังมากขึ้นค่ะ แต่จริง ๆ ทุกวันนี้มิ้นต์ใช้ชีวิตไม่ได้ไปก้าวก่ายหรือไปยุ่งกับชีวิตใครอยู่แล้ว เราก็อยู่ในส่วนของเราคือสังคมเราแฮปปี้ที่จะมีแค่นี้เราก็มีแค่นี้ค่ะ เราไม่ได้อยากคบคนที่มีชื่อเสียงกว่าหรืออะไร เราคบใครที่เราสบายใจเราก็คบมีเพื่อนแค่นี้ดีกว่า"
พูดแบบนี้เหมือนจะไม่คบทางโน้น (หมาก) แล้วเลยนะ?
"ไม่ใช่ค่ะ เราแค่คิดว่าเราคบใครแล้วเราสบายใจ แต่ถ้าเป็นการทำงาน เราทำได้ค่ะ ถ้าเป็นการทำงานมิ้นต์ไม่ซีเรียสเลย ไม่ซีเรียสมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
มีไอดอลในการทำงานไหม?
"คงเป็นพี่นกหญิง พี่นกชาย (สินจัย-ฉัตรชัย เปล่งพานิช) ค่ะ เพราะเราใกล้ชิดกับพี่เขาที่สุด เราจะเห็นเวลาเขาทำงาน ทำไมคนถึงรักเขา นั่นเป็นเพราะว่าหน้าจอเขาเป็นแบบนี้ เขามาเป็นผู้จัดเขาก็เป็นแบบนี้ คนถึงรักเขา ด้วยฝีมือของเขา เขาสอนมิ้นต์เสมอว่าไม่ว่าเราจะเป็นดาราที่เก่งแค่ไหน เราต้องไม่ลืมที่จะฝึกฝนตัวเองในเรื่องของการแสดง ทุกวันนี้พี่นกยังเรียนการแสดงอยู่เลยนะคะ มิ้นต์ก็เรียนอยู่ด้วย ถ้ามีเวลามิ้นต์ไม่คิดที่จะหยุดอยู่แล้ว เพราะคิดว่าอยู่วงการนี้ก็ต้องทำให้ได้หลายอย่าง ให้คนเห็นพัฒนาการ ทุกวันนี้บางเรื่องก็รู้สึกว่าชอบตัวเอง บางเรื่องก็ไม่ชอบ"
เวลาคนวิจารณ์การแสดงรู้สึกยังไงบ้าง?
"ก็ยอมรับค่ะ มีคนติก็แสดงว่าเขายังดูละครเรา เราก็เอาข้อนั้นมาแก้ไขในเรื่องต่อไป เพราะมิ้นต์คิดว่าคนเรามองไม่เห็นความผิดพลาดในตัวเองหรอก เราก็จะเก็บจด ๆ เอาไว้ว่าอะไรที่เป็นข้อเสีย ตอนนี้มิ้นต์จะมีปัญหากับบทที่มันเป็นผู้ใหญ่ เพราะมันเป็นบทที่ไกลตัว แต่ถ้าทำได้มันก็ดี คนวิจารณ์เยอะ ๆ ก็ไม่นอยด์ แต่คิดว่าเราจะพัฒนายังไงดี เราคิดว่าบางทีเรามาห่วงเรื่องเสียง แอ๊คติ้งก็หายเราก็คิดว่าจะทำยังไงให้มันมาเจอคำว่าพอดี"
วันนี้เดินมาถึงตรงนี้ถือว่าเกินความคาดฝันไหม?
"ไม่ได้ใฝ่ฝันเลยค่ะ แล้วก็ไม่เคยคิดด้วยว่าจะได้เป็นนักแสดงช่อง 3 เราเคยดูละคร เคยดูรุ่นพี่แล้วชื่นชอบ และไม่เคยคิดว่าจะได้มาอยู่ ณ จุด ๆ นี้ เราทำได้เราก็รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ที่สามารถแบ่งเบาภาระของคุณพ่อคุณแม่ได้ สมัยก่อนมิ้นต์เป็นคนขี้ อายไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่พอจะเอาจริงก็มีมุมที่จริงจังเหมือนกัน ก่อนที่เราจะมาอยู่ตรงนี้ เราแคสงานมาตั้งแต่ 8 ขวบ ที่แคสตอนนั้นเพราะอยากได้เงิน ตอนนั้นได้สองสามพันเราก็ดีใจแล้วค่ะ คิดอย่างเดียวว่าจะได้เงิน คุณแม่ก็เป็นคนสนับสนุน คอยไปรับไปส่ง จากคนขี้อายพอเริ่มเจอกล้องบ่อย ๆ ความขี้อายมันก็หายไป"
ทุกวันนี้มิ้นต์ถือว่าเป็นกำลังหลักของบ้านเลยไหม?
"ก็รองจากคุณพ่อค่ะ ถือว่าเราก็แบ่งเบาภาระ อย่างพ่อรับภาระเรื่องการเรียนของน้อง หนูกับแม่อยากได้บ้านหลังใหม่พ่อก็บอกให้ทำกันเอง ก็แบ่งกันไปเป็นส่วน ๆ พอทำได้ก็เป็นความภาคภูมิใจ ถ้าบ้านเสร็จจะยิ่งภูมิใจมาก เพราะมิ้นต์คิดว่าทุกวันนี้ทุกอย่างมิ้นต์อยากได้อะไรก็ไม่ใช่ว่าได้เลยต้องคิดถึงที่บ้านไว้ก่อน มิ้นต์เป็นลูกคนโตก็ต้องมีความรับผิดชอบเยอะ จริง ๆ มิ้นต์คิดว่า พ่อแม่เลี้ยงเรามาก็เหนื่อยแล้ว ถ้าเรื่องอะไรที่มิ้นต์ทำได้มิ้นต์ทำหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เรียนน้อง พาน้องไปทำโน่นนี่ เราก็ทำ ก็นึกถึงคนอื่น ๆ ในครอบครัวตลอด เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครรักเราจริงเหมือนพ่อแม่และครอบครัว"
แล้วเรื่องความรักของตัวเองล่ะ?
"ตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้เจอ เหมือนเราทำงานทุกวัน เขาเองก็อยู่เขาใหญ่ ก็เลยดูห่างกันนิดนึง ทุกวันนี้สิ่งที่ประทับใจ เพราะเขาเป็นคนที่น่ารัก ไม่คิดอะไรมาก เป็นคนที่หัวเราะได้ตลอด ไม่คิดอะไรในแง่ลบ เพราะมิ้นต์ชอบคนตลกไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ก็ยังไม่ถือว่าตรงสเปก ยังต้องมีอะไรหลายอย่างที่ต้องเข้าใจกัน เราก็ต้องเรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ ดีกว่า เพราะเราก็เพิ่งอายุ 21 เอง ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกัน พ่อยังบอกให้เป็นเพื่อนกันไปก่อน เพราะพ่อค่อนข้างหวงเรามาก เลยคิดว่าความสัมพันธ์ประมาณนี้กำลังดี เพราะถ้าหลังจากนี้จริงจังแล้วมันไม่ใช่ เราก็ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ และยังมองหน้ากันติดค่ะ เรายังไม่ได้ถึงขนาดต้องปรับตัวอะไรหากัน มันยังไม่ได้เรียนรู้กันและกันถึงขนาดนั้น เพราะถ้าศึกษากันจริง ๆ คงมีอีกเยอะ ทุกวันนี้ความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้ถือว่าดี เพราะอย่างบางทีเดือนหนึ่งก็ไม่ได้เจอกันเลย เพราะเราก็ทำงานทุกวัน มันก็ค่อนข้างห่างไปเรื่อยๆ"
ห่างแต่ก็ไม่ได้ตัดขาด?
"แค่คุยกันน้อย ต่างคนต่างทำงานต่างใช้ชีวิตของตัวเอง เราก็ยังมีสิทธิที่จะเลือกคนอื่นอีกนะ ไม่ได้อยากให้ผูกมัด เราศึกษากันในระดับเพื่อนก่อนดีกว่า มุมมองความรักของมิ้นต์คงเป็นความเข้าใจกัน เข้าใจแบบมองตาแล้วรู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และความซื่อสัตย์ที่มีต่อกัน"
ที่ผ่านมาเขาดูแลเราดีไหม?
"หนูเป็นคนชอบดูแลตัวเองมากกว่า นิสัยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะเราจะรู้ใจตัวเองที่สุด เราไม่ค่อยหวาน แต่ว่าเป็นคนเฉย ๆ มากกว่า มิ้นต์ไม่หวาน พี่เขาก็ไม่หวาน ไม่เคยมีเซอร์ไพร้ส์กัน แล้วไม่ชอบอยู่กันสองคน ชอบอยู่หลายคนสนุกกว่า"
เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คืออะไร?
"ก็อยากทำงานในวงการและอยากเรียนให้จบ เพื่อที่จะได้ออกมาทำงานเต็มที่ หรืออาจจะมีธุรกิจบางอย่างขึ้นมา ตอนนี้การเรียนก็ขึ้นปี 3 ค่ะ คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมก็จะอัดงานเต็มที่ พอเปิดเทอมก็เรียนกับถ่ายละคร เรื่องเรียนท้อบ่อยเพราะเป็นภาษาอังกฤษ เรียนกับครูฝรั่งบางทีเขาก็ไม่เข้าใจเราว่าเราต้องไปทำงานด้วย เครียดที่จะขอคุยเพื่อขาดเรียนกับเขายังไง เพราะเขาเข้มงวดมาก ตอนนี้ก็เหลืออีกฮึดใหญ่ ๆ อยากให้จบตามกำหนดเหมือนเพื่อน ๆ ตอนนี้ก็เลยรับละครทีละเรื่อง แต่ก็ยังสามารถจัดการเวลาได้"
มีอะไรอยากฝากถึงแฟนคลับไหม?
"ก็อยากขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจมิ้นต์ก็อยากให้ทุกคนดูมิ้นต์ไปเรื่อย ๆ มิ้นต์สัญญาว่าจะตั้งใจทำงานทุกชิ้น และเต็มที่กับงานทุกอย่างที่ทำค่ะ"
* ดูประวัติ มิ้นต์ - ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง
* ดูอัลบั้ม มิ้นต์ - ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง
|