'เมญ่า' ลูกเป็ดขี้เหร่ สู่สาวงามที่สุดของประเทศ
เรียกว่าพลิกประวัติศาสตร์เวทีขาอ่อนเลยทีเดียว สำหรับสาวใต้ตาคม เมญ่า-นนธวรรณ ทองเหล็ง ที่สามารถคว้ามงกุฎ "มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014" ที่ปีนี้มาภายใต้แนวคิด "งามอย่างมีคุณค่า งามสู่สายตาอาเซียน" ซึ่งแม้เธอจะพลาดหวังมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ และในที่สุดเธอก็ได้เป็นสาวงามที่ฉีกกรอบคำว่า "สวยต้องขาว" ทิ้ง พร้อมคว้าตำแหน่งไปด้วยมันสมองและไหวพริบอันชาญฉลาด วันนี้ "ดาวต่างมุม" เลยไม่รอช้า รีบพาสาวงามคนนี้มานั่งคุยแบบเจาะลึก
ที่มา : ดาวต่างมุม เดลินิวส์
หลังจากที่ผิดหวังจากเวทีก่อนหน้านี้ พอได้รับตำแหน่ง "มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014" รู้สึกอย่างไรบ้าง?
"ณ ตอนนั้นหนูมั่นใจในคำตอบของตัวเองนะคะ ระหว่างที่ฟังเพื่อนนางงามคนอื่นตอบ หนูก็พยายามที่จะเติมจุดที่ขาด เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด เราคิดว่าคำตอบน่าจะถูกใจกรรมการหลาย ๆ ท่าน ซึ่งหนูไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง เพราะว่ากรรมการบางทีก็ดูหลาย ๆ อย่างรวมกัน ไม่ใช่แค่การตอบคำถามเพียงอย่างเดียว คือวันนั้นกรรมการถามว่า "นางงามในความหมายของคุณหมายความว่าอย่างไร?" และหนูก็ตอบด้วยการดึงความเป็นตัวเองออกมา โดยบอกว่านางงามเป็นความฝันของเด็กหลายคน และความหมายของนางงามในความคิดเด็กก็คือคนที่สวยจากภายในสู่ภายนอก และเราต้องมีความสามารถที่ทัดเทียมระดับสากลได้ เพราะเราเป็นตัวแทนประเทศไทย นางงามในทัศนคติของเมญ่า คือคนที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบค่ะ"
การได้ตำแหน่ง “มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014” เป็นความสำเร็จสูงสุดของเรารึยัง?
"ก่อนหน้าที่เราจะได้รับตำแหน่ง ตรงนี้คือจุดสูงสุดค่ะ แต่เมื่อหนูมายืนตรงจุดนี้ หนูก็ต้องมีเป้าหมายที่สูงกว่านั้นอีก นั่นก็คือ "มิสเวิลด์" สิ่งที่หนูจะเอาไปสู้กับเวทีระดับโลก คือศักยภาพของหนู ที่หลายคนคงเห็นว่ามีเยอะเกินปกติที่จะหาได้อยู่แล้ว เมญ่าคิดว่าเราทำให้หลายคนสัมผัสสิ่งพิเศษที่เมญ่ามีได้ค่ะ อย่าง ณ ตอนนี้แค่หนูมาประกวดและสามารถทำได้จนถึงจุดนี้ หนูก็เป็นเหมือนแบบอย่างของคนที่เขาซ่อนตัวเอง และกลัวมาตลอด เรื่องผิวสีดำที่หลายคนคิดว่าเป็นจุดด้อย แต่วันนี้เรากลายเป็นตัวแทนของพวกเขาแล้ว เราเปลี่ยนความคิดของเขา ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่หนูทำเพื่อคนที่ขาดความมั่นใจ มันถือเป็นเรื่องเกินความคาดหมายอีกเรื่องนึงเลยค่ะ"
ในตอนเด็กเราโดนล้อเรื่องสีผิว ทำให้รู้สึกว่าเป็นปมด้อยด้วยรึเปล่า?
"ใช่ค่ะ แต่หนูคิดว่าหนูเอาความสามารถมากลบจุดด้อย คือตอนที่เราเรียนระดับมัธยม เราก็ยังน้อยใจอยู่นะ เพราะเพื่อนชอบล้อเรื่องดำ แต่พอเราเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยนานาชาติสแตมฟอร์ด เราก็รักสีผิวของตัวเอง เพราะเราได้เปลี่ยนสังคมรอบข้าง อยู่กับคนที่มีทัศนคติเปลี่ยนไป เราได้อยู่กับคนที่รักและอยากมีสีผิวแบบเราค่ะ"
ฝันอยากเป็นนางงามมาตั้งแต่เด็กเลยมั้ย?
"ใช่ค่ะ เพราะว่าตอนเด็กหนูชอบเอาผ้ามาประดับให้ตัวเอง และยืนโบกมือเหมือนนางงาม เราก็ฝึกโบกมือแบบนั้น แต่ในใจก็คิดว่าคงไม่ได้เป็นหรอก ส่วนสาเหตุที่หนูอยากเป็นนางงาม เพราะนางงามสำหรับเด็กคือผู้หญิงที่สวยที่สุด หนูดูการประกวดตั้งแต่เด็กเลยค่ะ"
ตอนเด็กมีฉายาว่า "ลูกเป็ดขี้เหร่" จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ ที่เราก้าวสู่คำว่า "ผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศ" รู้สึกยังไงบ้าง?
"ตอนเด็กหนูถูกเรียกว่าลูกเป็ดขี้เหร่ เพราะว่าตอนเด็กเราหัวหยิก ตัวดำ (ยิ้ม) แต่พอได้รับตำแหน่ง หนูรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายมาก ๆ เพราะตอนเด็กหนูคิดว่าหนูคงไม่มีแฟนหรอก แต่งงานไม่ได้ เพราะว่าหนูไม่สวย และหนูก็คงไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะคนสวยมักได้งานดี ๆ ได้รับความก้าวหน้า หนูไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเปลี่ยนจนมาถึงตรงนี้ได้ยังไง โชคดีค่ะ ที่หนูเป็นคนรูปร่างสูง และแม่ก็คอยดูแลผมให้ดำสลวย ส่วนหน้าตาเราก็แต่งเอง เรียนรู้เอาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาแต่ละปีค่ะ"
สิ่งที่ประทับใจขณะอยู่ในกองประกวด?
"อันดับแรกคือพี่เลี้ยงค่ะ เขาดูแลเหมือนลูกเลย ตอนเก็บตัวเมญ่าไม่เหนื่อยเลยค่ะ เพราะมันเป็นกิจกรรมที่เราต้องทำ ปกติเมญ่าไม่ใช่คนตื่นเช้า แต่พอมีสิ่งที่เราต้องทำ เราก็ตื่นโดยอัตโนมัติเลยค่ะ ปีนี้หนูรู้สึกแปลกอย่างนึงตรงที่มันไม่มีอะไรที่ขัด ทุกอย่างส่งให้หนูมาอยู่ตรงนี้ได้ อยู่ดี ๆ หนูก็พร้อม ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหนูไม่ได้ตั้งใจจะมาประกวดเลย บอกกับทุกคนไว้ว่าเดี๋ยวจะมาประกวดตอนเรียนจบ แต่ที่เรามาเพราะเราพร้อมจริง ๆ ค่ะ้"
มีนางงามที่เป็นไอดอลบ้างรึเปล่า?
"มีค่ะ คือพี่ “หนูสิ-สิริรัตน์ เรืองศรี” มิสไทยแลนด์เวิลด์ปีค.ศ.2010 หนูเคยทำงานร่วมกับพี่หนูสิ และรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่ารักและอดทน คอยแนะนำรุ่นน้องตลอด แต่หนูนับถือตรงความมุมานะของเขา เขาพลาดมาแล้วปีนึง แต่เขาก็กลับมาอีกครั้งและทำได้ แต่หนูไม่ได้คิดว่าตัวเองจะทำได้ขนาดนี้ แต่อย่างน้อยเราอยากไปให้ไกลที่สุด จริง ๆ ตอนประกวดมาได้ถึงรอบ 5 คนสุดท้ายก็ดีใจแล้ว คือเราหวังนะ แต่ก็ทำใจไว้ด้วยค่ะ"
ถามถึงความพร้อมในการไปประกวด "มิสเวิลด์"?
"หนูไม่ต้องเครียดเรื่องเรียน เพราะเรียนจบแล้ว และคงได้ดูแลตัวเองเต็มที่ ซึ่งการเตรียมตัวอย่างแรก คือหนูต้องเพิ่มน้ำหนัก เพราะว่าเราตัวบาง ถ้าเราไปยืนกับเขา เราอาจจะจม ส่วนเรื่องอื่นก็มีคิดเรื่องความสามารถพิเศษที่จะเอาไปโชว์ เพราะว่าฟาสต์แทร็กของการประกวดที่นั่น ก็เหมือนกับที่เราจัดเลยค่ะ"
ในฐานะที่เป็นนางงาม ตัวแทนจากประเทศไทย จะเอาเสน่ห์ตรงไหนไปอวดชาวต่างชาติ?
"เสน่ห์คนไทยมีแน่ ๆ คือความอ่อนน้อมถ่อมตน ความจริงใจ เวลาพูดเราไม่ต้องเสแสร้งอะไร ใช้สายตาพูดค่ะ คือเราช่วยคนอื่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ความช่วยเหลือคนไทยไม่เหมือนชาวต่างชาตินะคะ คนไทยมีจิตสาธารณะมากกว่า เราจะช่วยโดยไม่คิดว่าอันนี้เรื่องคุณ อันนี้เรื่องของฉัน คนไทยจะคิดว่าเรื่องของคุณ ถ้าเราช่วยได้ เราก็จะช่วยค่ะ หนูจะเอาน้ำใจคนไทยไปเสนอ เพราะสิ่งที่คนไทยมีและไม่เหมือนประเทศใดในโลก คือความมีน้ำใจค่ะ"
พูดถึงไลฟ์สไตล์ให้ฟังหน่อย?
"จริง ๆ เมญ่ามีคำพูดที่คิดอยู่เสมอว่า “นาว ออร์ เนเวอร์” จะทำตอนนี้หรือไม่ทำอีกเลย เราต้องเลือกค่ะ อย่างตอนที่อาจารย์ให้เลือกระหว่างการเรียนกับการประกวด หนูก็คิดเลยค่ะ ถ้าหนูทิ้งตรงนี้ไปทั้ง ๆ ที่หนูเข้ามาถึงรอบ 28 คนสุดท้ายแล้ว เมื่อไหร่หนูจะได้กลับมายืนตรงนี้อีก หนูเลยเลือกที่จะประกวด ส่วนเรื่องเรียนเราไม่ได้ทิ้ง แต่แค่ตามมาเรียนต่อทีหลังค่ะ"
มีคติที่ใช้ประจำบ้างมั้ย?
"เปิ้ลยังไม่พร้อมกับความรักมากกว่า เพราะเป็นคนที่รักใครแล้วรักจริงมาก คบใครก็คบนาน เราไม่อยากเลิกคนนี้แล้วไปคบคนนั้น เริ่มต้นใหม่บ่อย ๆ เปิ้ลเชื่อพรหมลิขิตนะ ถ้ายังไม่เจอใครที่เรารู้สึกว่าฟ้าส่งมาจริง ๆ เราก็อยู่คนเดียวได้ เพราะเรามีงานให้ทำเรื่อย ๆ มีเพื่อนดี ๆ ตั้งหลายคน จริง ๆ แล้วเป็นคนไม่เคยโหยหาความรักเลย เพราะชีวิตก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องความรักทั้งในครอบครัวและความรักแบบหนุ่มสาว ตั้งใจไว้ว่าถ้าอายุขึ้นเลข 5 เปิ้ลอยากจะไปปฏิบัติธรรมอยู่บนดอยสักแห่ง วางเป้าหมายชีวิตไว้ 2 อย่างเลย คือถ้าไม่ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิตตอนอายุ 50 ก็อาจจะมีรีสอร์ทเล็ก ๆ สงบ ๆ อยู่ที่ไหนสักแห่ง เพราะเป็นคนที่ชอบต้นไม้ ชอบธรรมชาติ ชอบบริการคน และชอบพบปะผู้คนใหม่ ๆ ค่ะ"
เรื่องหัวใจ มีหนุ่มพิเศษรึยัง?
"ก็มีมาตั้งแต่ก่อนประกวดแล้วค่ะ คบกันมาตั้งแต่ที่หนูเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก ตอนนี้ก็คบกัน 3 ปีแล้ว เขาเป็นชาวต่างชาติ ถือเป็นกำลังใจให้กัน ช่วยเหลือเรื่องเรียนกันตลอด เพราะตอนปีแรกที่หนูมาประกวด แล้วกลับไปเรียน เกรดเราแย่หมดเลย เขาก็เข้ามาพอดี เรื่องเรียนหนูไม่ต้องห่วงเลย เพราะเขาตามให้ตลอดค่ะ ตอนที่เขาเห็นเราได้รางวัล เขาดีใจกับเรามากที่เราทำได้ เขาเป็นอีกคนที่เห็นความสวยจากข้างใน บางทีที่หนูไม่ได้แต่งหน้าเขาก็บอกว่าคุณสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรก็สวย และเขาก็มั่นใจในตัวหนู พอหนูบอกว่าหนูจะมาประกวดนางงาม ก็มีบางช่วงที่หนูนอยด์ ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ เขาก็บอกกับหนูว่าคุณไม่ต้องประกวดก็สวยที่สุดอยู่แล้ว เขาคอยให้กำลังใจค่ะ ก็รู้สึกว่าดีใจที่มีทั้งครอบครัวและเพื่อนที่สนิทที่สุดอีกคนแบบนี้ค่ะ"
สุดท้าย ขอแรงเชียร์จากแฟนชาวไทย?
"เมญ่าอยากให้คนไทยเปิดทัศนคติให้กว้างและยอมรับในสิ่งที่คนเราเป็น มากกว่าที่จะไปตัดสินคนอื่นจากภายนอก หลายคนที่เห็นเขาประสบความสำเร็จ เราไม่สามารถตัดสินได้แค่จากภายนอกเลย ทุกคนมีของอยู่ข้างใน มันอยู่ที่ว่าเราจะใช้ของของเราอย่างเต็มที่ และสามารถโชว์มันออกมาได้รึเปล่าค่ะ คือถ้าเมญ่ายังกลัวและไม่มั่นใจว่าตัวเองมีของดี เมญ่าคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ในวันนี้ และคงไม่เป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนค่ะ คือถ้าเราคิดว่า ถ้าเราไม่เด่นตรงนี้ เราก็ต้องหาจุดเด่นตรงอื่นมาช่วย หาของดีตัวเองและนำเสนอมันออกมาค่ะ สุดท้ายก็ขอให้แฟน ๆ ชาวไทยทุกคนเป็นกำลังใจให้เมญ่าด้วย เพราะไม่ว่าจะไปถึงขั้นไหนก็ตามเมญ่าก็จะทำให้ดีที่สุดอยู่แล้วค่ะ"
* ดูประวัติ เมญ่า - นนธวรรรณ ทองเหล็ง
|