|
" สิบหนังบันดาลใจนักจิกตีเสียดสีสังคมแห่งยุคสมัย จูวินยอน จอห์น วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ " |
ในภาคหนึ่ง เขาสวมบทบาทเป็นดีเจและพิธีกรรายการโทรทัศน์ขวัญใจวัยทีนผู้สนุกสนานเฮฮา
แต่ในอีกภาคหนึ่ง เขาคือผู้จัดรายการทีวีนักเสียดสีการเมืองและสังคมตัวยง ผ่านรายการ ‘เจาะข่าวตื้น’
ที่ออกอากาศทางอินเตอร์เน็ตอย่าง iHere TV ของเขาเอง ด้วยสโลแกนเจ็บ ๆ ว่า ‘ดูถูกสติปัญญา’
เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ดูถูกสติปัญญาคนดูอย่างที่ว่าเลย ด้วยการนำเสนอเรื่องราวข่าวเด่นประเด็นร้อนทางสังคม
วัฒนธรรม ไปจนถึงการเมือง ที่ถูกหยิบยกมาบอกเล่า วิพากษ์วิจารณ์ ไปจนถึงกระทบกระเทียบเสียดสี
ด้วยลีลาอันแสนจะยียวน ป่วนอารมณ์ แสบสันต์ โหด มัน และโคตรฮา แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึกคมคาย
ผนวกกับการวิเคราะห์เจาะลึกข้อเท็จจริง อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา โดยที่ไม่น้อยหน้ารายการคุยข่าว
ที่ชอบอ้างตัวว่าเจาะลึกข้อมูลทั้งหลายเลย (เผลอ ๆ จะลึกกว่าด้วยซ้ำไป)
ด้วยความที่เป็นแฟนอันเหนียวแน่นของราการเขา เราจึงถือวิสาสะ และถือโอกาสทวงสิทธิอันชอบธรรม
ในการบุกรุกเข้าไปขุดคุ้ย ล้วงแคะแกะเกามุมมอง ความคิด ทัศนคติ ของนักจิกกัดเสียดสีสังคมแห่งยุคสมัยอย่าง
‘จูวินยอน เอ๊ย! จอห์น วิญญู วงศ์สุรวัฒน์’ ผ่านหนัง 10 เรื่องที่เขาเลือกมา ว่ามันจะแสบสันต์ โหด มัน ฮา
และลุ่มลึกคมคายเหมือนอย่างรายการของเขาหรือไม่? ก็ต้องมาพิสูน์กัน!
บทสัมภาษณ์จาก นิตยสาร FILMAX ฉบับที่ 41
เรื่อง : ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ ภาพ : พลอยรพี พงษ์ธะนะ
|
|
|
|
|
ถาม |
หลัก ๆ เลย ตอนนี้คุณจอห์นมีงานอะไรบ้างครับ
|
|
เท่าที่มีอยู่ ณ เวลานี้ก็เป็นพิธีกรอยู่ที่รายการ ‘รถโรงเรียน’ แล้วก็เคเบิ้ล ของทางจีเอ็มเอ็มทีวีก็คือ ‘Bang Channel’ เป็นพิธีกรรายการ ‘Bang Room’ แล้วก็เป็นดีเจอยู่ที่ Hot 915 hot 915 ‘ซ่าโดนทีน’ กับดีเจ พลอย หอวัง แล้วก็เป็น Executive Director และพิธีกรอยู่ที่บริษัทเฮลิแพด ที่ทำเว็บ iHere.tv กับรายการเจาะข่าวตื้น
|
ถาม |
รายการอย่าง เจาะข่าวตื้น นี่มีที่มาที่ไปยังไง
|
|
คือจริงๆ แล้ว เว็บ iHere.tv นี่ ทำมาเกือบสี่ปีแล้ว ก็ทำรายการที่ค่อนข้าง ตามใจตัวเองมาสองปีกว่าๆ มีตั้งแต่รายการทอล์กโชว์ของผมกับพล่ากุ้ง รายการทำอาหาร ซึ่งเราก็อยากจะทำให้มันออกมาเป็นคล้าย ๆ Independent TV หรือว่าเป็นอินดี้หน่อย ๆ ก็คือมีความต้องการอยากจะ ทำอะไรก็ทำไปเลย แต่พอก้าวเข้าสู่ปีที่สาม เราก็รู้สึกว่าอยากจะพูดถึง เรื่องราวของสังคม การเมือง หรือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มันอยู่รอบตัวเรา ในแบบ ง่าย ๆ ที่วัยรุ่นหรือคนทั่วไปเข้าใจได้ เพราะผมเองก็เป็นคนนึงที่พอดู รายการข่าวหรือรายการต่าง ๆ ที่เขาบอกเจาะลึกเจาะนู่นเจาะนี่ เราก็รู้สึก ว่าเราได้อะไรที่มันไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ แล้วบางทีไปอ่านหนังสือพิมพ์ หรือว่าอ่านตามพวกบทสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะของคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ มันเกิดขึ้นในสังคม หรือว่าการเมือง ก็รู้สึกว่าตอบกันอ้อมๆ มาก แล้วก็ใช้คำที่มันสวยหรูเหลือเกิน คล้าย ๆ เอาก้านบอระเพ็ดไปชุบน้ำเชื่อม น่ะ อมทีแรกก็หวานอยู่ แต่สักพักก็ขมโคตร ๆ เลย เราก็รู้สึกว่าคน ส่วนใหญ่โดยทั่วไป โดยเฉพาะวัยรุ่นซึ่งในอนาคตจะต้องมีความสำคัญกับ ประเทศนี้มาก ๆ พอเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับการเมือง หรือสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในสังคม เหมือนที่เรากำลังสัมผัสอยู่ จนกระทั่งไม่อยากจะไปสนใจแล้ว แบบ โอ๊ย! การเมือง ปล่อยมันไป อย่าไปยุ่งเลย!
|
|
|
|
ใช่ครับ! บางคนก็จะรู้สึกว่า จะมีการโกง การคอร์รัปชั่น การทำอะไรผิดกฎหมาย หรือผิดศีลธรรม บางคนก็ ปล่อย ๆ ไปเหอะ มันก็เป็นอย่างงี้แหละ สังคมไทย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ควร คือเค้าอาจจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้เพราะความที่มันเข้าใจยาก หรือว่าความน่าเบื่อก็ได้ ที่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ความจริงอะไรสักที หรือว่าอ่านไปก็ไม่เข้าใจ เราก็เลยอยากจะพูดอะไรที่มันง่าย ๆ ที่มันเข้าใจไม่ยาก ด้วยภาษาของวัยรุ่น ด้วยภาษาของคนรุ่นใหม่
|
|
ถาม |
ทำเรื่องยาก ๆ ให้มันสนุก?
|
|
ใช่ แต่บางคนก็จะรู้สึกว่าดูรายการนี้แล้วมันฮา ตลก คือต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า ณ จุดแรกเราไม่ได้ต้องการทำให้มันตลก
จริง ๆ แล้วเราต้องการจะทำให้มันออกมาในแนวเสียดสีซะมากกว่า คือไอ้ความตลกความฮาอะไรที่มันมากับรายการพวกนี้ หรือการที่คนดูแล้วรู้สึก อื้อหือ! มันโดนใจเหลือเกินนี่ ผมรู้สึกว่ามันเป็นคล้าย ๆ โบนัสมากกว่า
|
ถาม |
ภายใต้ความฮาเหล่านั้น เนื้อหามันก็แรงน่าดูนะครับ
|
|
ก็แรงพอสมควรครับ แต่ความเป็นจริงมันก็แรงอยู่ (หัวเราะ) พอเราพูดเรื่องจริงแบบตรง ๆ ก็คงต้องแรงอยู่แล้วล่ะครับ
|
|
|
ถาม |
ความที่รายการของคุณที่มีเนื้อหาที่ค่อนข้างชัดเจนและแรงแบบนี้ แล้วไม่มีปัญหาเรื่องสปอนเซอร์หรือครับ
|
|
คือช่วงที่ผ่านมาทำด้วยใจ อย่างที่ผมบอกว่าเมื่อสองปีก่อนที่ผมยังไม่ได้ทำ เจาะข่าวตื้น ผมทำรายการอย่างที่ผมอยากทำกันไปสักห้าหกรายการ แล้วก็จะมีลูกค้าอยู่ดี ๆ มาได้ยังไงก็ไม่รู้ ชอบสไตล์รายการ ให้เราช่วยทำ รายการพิเศษให้กับสินค้าของเขา แล้วเขาก็จ่ายเงินมา ซึ่งการที่เขาจ่ายเงิน ก้อนนั้นมา มันทำให้อยู่ได้สักสองปีด้วยซ้ำ ในแง่ของการรันธุรกิจออนไลน์ นะครับ เพราะทุนมันค่อนข้างต่ำ มันไม่ต้องไปซื้อเวลา ไม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ (หัวเราะ) ซึ่งก็ต้องยอมรับกันว่ามันมีจริง ๆ น่ะ บางทีใต้โต๊ะมากกว่า ค่าเช่าอีก แต่ช่วงหลังพอเรตติ้งมันดี มันกระโดดขึ้นมาหลายล้าน ผู้สนับสนุน ก็แห่กันเข้ามาเอง ซึ่งเราก็บอกเขาไปว่าจุดยืนเราเป็นอย่างนี้นะ ถ้าคุณอยาก จะแปะโฆษณาก่อนเข้ารายการ อยากมีอะไรสักอย่างบนเว็บผม คุณก็ต้อง ยอมรับเนื้อหาที่ผมนำเสนอ
|
ถาม |
ทราบมาว่าคุณจอห์นเกิดและเติบโตมาในครอบครัวนักวิชาการ คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย สิ่งเหล่านี้มีส่วนปลูกฝังให้คุณมีความคิดแบบนี้ไหมครับ
|
|
ใช่ครับ เหมือนอย่างที่เขาบอกกันว่า สิ่งแรกที่มันหล่อหลอมให้เราเป็นคน แบบไหน มีบุคลิกยังไง มันมาจากครอบครัว อย่างคุณพ่อผม (รศ.ดร. โกวิท วงศ์สุรวัฒน์) ก็เป็นอาจารย์อยู่ที่ ม.เกษตร คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชา รัฐศาสตร์ ที่พูดถึงเรื่องราวการเมืองการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นของไทย ของต่างชาติ รวมถึงสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย แล้วคุณแม่ (ผศ.แจนิซ วงศ์สุรวัฒน์) เองก็สอนอยู่คณะจิตรกรรมฯ ม.ศิลปากร สอนเกี่ยวกับ สุนทรียศาสตร์ วิจารณ์ภาพยนตร์
|
|
|
ถาม |
ผมเองก็เคยเป็นลูกศิษย์ของคุณแม่คุณจอห์นได้เรียนวิชาที่ว่านี้ด้วยเหมือนกัน
|
|
อ้อ! เหรอครับ? งั้นก็ต้องเจอ 'คนเหล็ก' เจอ 'Silence of the Lamps' สิ (หัวเราะ) ก็นั่นแหละครับ ผมก็นั่งดูกับคุณแม่ตลอดเวลา คือผมเองก็เป็นคนที่ชอบดูทีวี ดูหนังวิดีโอ วีซีดี อะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่เราก็จะรู้สึกสงสัยมาตลอดว่าทำไมแม่ต้องมายึดทีวีเรา แล้วก็กรอดู ๆ อีฉากนี้อยู่นั่นแหละ ไอ้สนามเด็กเล่นโดนระเบิด หน้าเทอร์มิเนเตอร์ที่กลายเป็นกันชนด้านหน้าของรถบรรทุก แม่ดูอะไรตรงนั้นเหรอ? หรือว่าไอ้ฮันนิบาล เล็กเตอร์ ที่มันวิเคราะห์ คลาร์รีซ ผ่านอดีตของเธอ คือเราจะได้รับในส่วนของวิชาการ การเมืองการปกครอง เรื่องที่มันค่อนข้างซีเรียสของสังคม หรือมุมมองที่เป็นหลักการเป็นทฤษฎีจากคุณพ่อ แล้วก็ได้มุมมอง ทางด้านศิลปะหรือด้านของการตีความจากคุณแม่ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันก็เป็นส่วนผสมที่ลงตัวดีนะ
|
ถาม |
มันเลยทำให้คุณสามารถที่จะถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเช่นเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเมืองในแง่มุมที่แตกต่าง จากนักข่าวทั่ว ๆ ไป
|
|
ใช่ครับ ให้มันดูบันเทิง ไม่น่าเบื่อ ซึ่งจริง ๆ ผมก็ไม่อยากบอกว่าไอ้ เจาะข่าวตื้น นี่มันเป็นเครดิตของผมเองทั้งหมด พี่สาวผมเอง ก็เป็นคนช่วยเขียนบทด้วย ก็ช่วย ๆ กันดูแลเนื้อหาไปด้วยกัน ซึ่งพี่สาวผมเองก็ได้รับมุมมองจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่ผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็จะมองไปในทางเดียวกัน พอมาช่วยกันเจียรนัยให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่างมันก็เลยออกมาอย่างที่ทุกคน กำลังติดตามอยู่ทุกวันนี้
|
|
|
|
ถาม |
ได้ยินมาว่าตอนแรกคุณจอห์นเรียนเกี่ยวกับทางด้านศิลปะและบันเทิง แต่ทำไมถึงหันเหไปเรียนรัฐศาสตร์แทนล่ะครับ
|
|
คือบางคนที่เรียนที่นั่นก็อาจจะแฮปปี้ มีความสุข แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องของ งานศิลปะ มันก็ต้องมีการเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนรูปแบบ หรือมีการพัฒนาไปตามกาลเวลา และยุคสมัยเหมือนกัน ซึ่งเมื่อผมเรียนอยู่ที่นั่นในระยะเวลา3ปี ก่อนที่จะตัดสินใจ ที่จะออกมาเรียนรัฐศาสตร์แทน เพราะผมรู้สึกว่า มันยังโดนตีกรอบอยู่ ทั้งๆที่ งานศิลปะจริง ๆ มันไม่ควรจะถูกตีกรอบ
|
ถาม |
แล้วไปเรียนรัฐศาสตร์นี่ไม่กลายเป็นอยู่ในกรอบหนักกว่าเก่าอีก
หรือครับ
|
|
ไม่ครับไม่ คือผมรู้สึกว่ารัฐศาสตร์เป็นสิ่งที่ผมยอมรับได้ ผมกลับรู้สึกว่าการที่ ผมไปเรียนรู้ด้านรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง หรือแม้กระทั่งกฎหมาย มันเป็นสิ่งที่คล้าย ๆ เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต การวางตัวในสังคม มันต้องเป็นอย่างไร หรือว่าสิ่งที่ถูกต้องมันคืออะไร แล้วก็ค่อยเอามาผสมผสาน กับสิ่งที่เราเจอ กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน หรือว่าแนวคิดอื่น ๆ ที่มันอาจจะ สร้างสรรค์ ทำให้มันไม่น่าเบื่อ หรือทำให้มันมีความน่าสนใจ มากยิ่งขึ้นก็ได้
|
ถาม |
คนส่วนใหญ่มองว่าวงการบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการบันเทิงไทย ไม่ค่อยมีเนื้อหาสาระส่วนใหญ่มุ่งเน้นแต่ความบันเทิงโดยไม่ค่อยสนใจ การบ้านการเมืองหรือสังคมรอบข้าง คุณจอห์นคิดว่าไง?
|
|
พอคนในวงการบันเทิงพอไปพูดถึงเรื่องอะไรที่มันไปกระทบกับเรื่องของการเมือง เรื่องของระบบการปกครอง หรือการบังคับใช้กฎหมายในเมืองไทยปุ๊บ มันก็จะไป กระแทกใจคนที่เขากุมอำนาจเอาไว้อยู่ไง แต่ผมว่าเมืองไทยก็ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ นะครับ ที่เปิดกว้างในการรับฟังความคิดเห็นคนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การที่เราไปพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไร คนที่เขาถือสื่อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็คือ ฟรีทีวี ที่ก็ต้องยอมรับว่ามันยังเป็นสัมปทานของรัฐอยู่ดี การจะพูดอะไรก็ต้องกัน ไว้ก่อน เมืองไทยยังเป็นสังคมของเส้นสายมากกว่าสังคมที่เปิดโอกาส ถ้ามันเป็น สังคมที่เปิดโอกาส คนรุ่นใหม่ ๆ ที่มีความคิด มีไอเดียที่พร้อมจะพัฒนาสิ่งรอบ ๆ ตัวเราที่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองเค้าก็จะมีโอกาสมากขึ้น แต่ ณ ปัจจุบัน เมืองไทย ยังเป็นสังคมที่เปิดโอกาสน้อยอยู่ ยังเน้นในเรื่องของเส้นสายซะมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าไปขัดใจคนที่เขาเส้นใหญ่ งานก็เข้า!
|
|
|
ถาม |
แล้วคุณเองไม่กลัวงานเข้าบ้างหรือ?
|
|
ก็กลัวนะครับ จุดแรกก็กลัวว่า เดี๋ยวกูตกงาน! (หัวเราะ) กับอีกจุดนึง พอมาเริ่มคิดดูอีกที จริง ๆ แล้วไอ้ที่น่าเป็นห่วงกว่าก็คือว่า มันจะส่งผลกระทบกับคนรอบข้างหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นคนในองค์กรเดียวกัน อย่างที่ผมทำอยู่จีเอ็มเอ็มทีวี ตอนนั้นก็กังวลอยู่ พอสมควร แต่เราก็รู้สึกว่าเรานำเสนอเรื่องที่มันเป็นความจริงน่ะ แล้วเรื่องที่นำเสนอเราก็เอาข้อมูลมาจากหนังสือพิมพ์ จากสื่อทั่ว ๆ ไป ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เขานำเสนอกันอยู่แล้ว เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนเราเท่านั้นเอง ก็เลยรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้ ผิดอะไร ก็ยอมรับว่ารายการในช่วงแรก ๆ อาจจะดูแรงมากกก เราก็ยอมรับว่ามันก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา หรือว่าขวานผ่าซาก พอสมควร พอช่วงหลัง ๆ เราก็เปลี่ยนวิธีการนำเสนอที่อาจจะเสียดสีมากยิ่งขึ้น ไม่ได้ระบุ หรือว่าทำเหมือนเอากล้องไปส่องที่คน ๆ นั้นโดยตรงเหมือนช่วงแรก ๆ ตอนนี้ทำมา 18 เทป ผมก็รู้สึกว่าตั้งแต่เทปที่ 10, 11 เป็นต้นมา เราเจอความพอดีในการนำเสนอ ที่ผมเชื่อว่าคนดูได้ความบันเทิงที่ไม่น่าเบื่อ และได้สาระหรืออะไรไปคิดต่อ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ความกังวลว่าจะตกงาน (หัวเราะ) หรือด้านที่จะไปสร้างปัญหาให้กับคนในองค์กรเดียวกัน ผมว่ามันเบาลงไปเยอะ
|
ถาม |
ตั้งแต่ทำมานี่มีโดนผลกระทบอะไรบ้างไหมครับ
|
|
คือตั้งแต่ทำมาก็ยังไม่มีผลกระทบอะไรนะครับ บอกตามตรง ผมกังวลช่วงแรกซะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นเหมือนยังพยายาม หาตัวเองอยู่ว่า ต้องทำยังไงดีวะ? ให้มันโดนคนดู หรือให้คนดูเข้าใจง่าย ๆ ช่วงแรกก็แบบ ตรง ๆ แมร่งเลย! (หัวเราะ) พอช่วงหลังก็พอจะรู้ว่า จริง ๆ มันก็มีวิธีการนำเสนอที่เราสามารถอ้อมและกลับมาตรงประเด็นได้ หรือใช้การเสียดสีในการชี้แจง ประเด็นของเราก็ได้
|
ถาม |
การที่มีคุณแม่ของคุณเป็นอาจารย์สอนวิชาวิจารณ์ภาพยนตร์นี่ ทำให้คุณจอห์นเป็นคนชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย หรือเปล่าครับ
|
|
ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ที่เราเป็นอยู่ก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่นั่นแหละครับ คืออย่างพ่อก็บังคับให้เราอ่านโน่นอ่านนี่ คัดโน่นคัดนี่ เขียนโน่นเขียนนี่ บังคับให้ฝึกที่จะพูดแสดงความคิดเห็นอย่างงั้นอย่างงี้ ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ มันก็เห็นภาพชัดว่าเรามีความคิดอะไรยังไง มันเหมือนเราถูกบ่มมา ตั้งแต่เด็ก ๆ แม่ก็เหมือนกัน คือแม่ดูหนังเยอะ ดูโน่นดูนี่เยอะ ตอนนั้นเราอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ เฮ้อ! น่าเบื่อ ดูแต่ฉากนี้ มันมีอะไรวะ? ไอ้ตอนที่ดอลลี่กล้อง มีการซูมแล้วมันสื่อถึงอารมณ์อะไรด้านไหน? ตอนนั้นยังไม่ค่อยเก็ต แต่พอโตขึ้นแล้ว พอเข้าใจในเรื่องของสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในสังคม เริ่มรู้จักหนัง การใช้มุมกล้อง หรือการนำมาตีความ มันก็เป็นอะไร ที่น่าสนใจดีเหมือนกัน แล้วไป ๆ มา ๆ การที่เราดูหนังจนถึงทุกวันนี้ มันก็ทำให้เราหยิบเอาแง่มุมของการตีความ การมองเปรียบเทียบกับสิ่งที่มัน เกิดขึ้นในสังคมมาใช้ มันก็สนุกดีเหมือนกัน
|
ถาม |
ชอบดูหนังประเภทไหนเป็นพิเศษครับ ที่เลือกมาก็มีหลากหลาย แนวอยู่
|
|
มาก! หลากหลายแนวมาก (หัวเราะ) ก็ไม่ได้ชอบแนวไหนเป็นหลักนะครับ ถ้าพูดถึงหนังที่เข้าโรงภาพยนตร์ ก็ดูตามความอยาก ณ เวลานั้นมากกว่า คือหนังที่มันเข้าเรื่องไหนน่าดูวะ? หรือ เรื่องไหนที่มันมีประเด็นอะไร ที่มันน่าสนใจ ที่มันน่าเข้าไปรับรู้มุมมองของผู้กำกับ มุมมองของคนเขียนบท ลีลาการแสดง หรือแม้กระทั่งเรื่องของการถ่าย สเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์โน่นนี่ ก็แล้วแต่ มันก็จะมีบ้างอย่างดีวีดีที่เราซื้อไว้ วิดีโอ วีซีดีที่เรามีอยู่ที่บ้าน บางทีการที่จะหยิบออกมาดูมันเป็นไปก็ตามความรู้สึกที่เราอยากจะสัมผัส ณ เวลานั้น อย่างถ้าผมจะทำเรื่องที่มันเสียดสี ผมอาจจะไปเปิดดูไอ้ Monty Python หรือว่าถ้าอยากจะรู้สึกถึงเรื่องราวของครอบครัว โครงสร้างสังคม หรือสิ่งที่มันมีผลกระทบซึ่งกันและกันผมอาจจะหยิบ Magnolia ออกมาดูก็ได้
|
|
|
ถาม |
เข้าเรื่องหนังที่คุณจอห์นเลือกมาเลยนะครับ เรื่องแรก Cinema Paradiso
|
|
Cinema Paradiso นี่ต้องยกให้คุณแม่ เพราะเรื่องนี้คุณแม่ก็หยิบมาเหมือนกัน แล้วคุณแม่เขาก็จะดูบ่อยพอสมควร คือจริง ๆ แล้วผมชอบในแง่ที่มันเป็นหนังต่างประเทศที่มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษเรื่องแรก ๆ ที่ผมดูแล้วผมรู้สึกว่ามันสามารถสื่อสารกับเรา ได้ดีพอสมควร แล้วผมว่าเขาจับประเด็นได้ค่อนข้างกว้าง ค่อนข้างครอบคลุมดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัว เรื่องของความ สัมพันธ์ การวางตัวในสังคม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจดีเหมือนกัน กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นในอิตาลี ในซิซิลี เรื่องของเทคโนโลยีอะไรต่าง ๆ ที่มันเพิ่งเข้ามา อย่างเมื่อก่อนนี่ โหย! มีหนังเข้ามานี่เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เวลาคุณอยากรู้อยากรับข่าวสาร อยากรู้เรื่องอะไร คุณต้องไปนั่งในโรงภาพยนตร์ ดูพร้อม ๆ กับชาวบ้านเขา อย่างตัวเอกของเรื่อง โตโต้ ที่พ่อของเขาเสียชีวิตในสงคราม หรือว่าการ ที่เขาเหมือนกับได้พ่ออีกคนนึง ก็คือ อัลเฟรโด้ เราก็รู้สึกว่ามันพูดถึงเรื่องราวของการมีปฏิสัมพันธ์กันในสังคม บางทีไม่จำเป็นต้อง เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันคุณก็สามารถมอบความรู้สึก ดี ๆ ความห่วงใยให้กันได้ มันก็เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้เรา โดยเฉพาะกับหนังที่แบบ...ฉิบหายแล้ว ดูยากมากว่ะ! (หัวเราะ) มันพูดภาษาอิตาเลียนแล้วต้องอ่านซับฯ
|
ถาม |
ได้ดูตอนอายุเท่าไหร่ครับ
|
|
โหย เด็กมาก! ตอนนั้นอยู่ประถมน่ะครับ มันก็ฝังใจ รู้สึกประทับใจ ตอนเด็กก็ตั้งคำถามเหมือนกันว่าทำไมไอ้โตโต้ตอนเด็กมัน ดูมีสีสัน มีความสดใสอยู่ในตัวเขา แต่พอโตขึ้น มันเหมือนบางส่วนของเขาตายไป คือเขาก็ประสบความสำเร็จ โด่งดัง ทำชีวิตให้ ดีขึ้นได้ ส่งเงินกลับมาให้แม่ ให้น้องมีกินมีใช้สบาย แต่อะไรสักอย่างของเขามันหายไป แล้วในตอนท้ายการที่เขาได้มาสัมผัส ความรู้สึกที่อัลเฟรโด้ทิ้งไว้ในม้วน ฟิล์มที่เมื่อก่อนถูกเซ็นเซอร์ ที่ภาพการจูบ แม้กระทั่งการเห็นขาสวย ๆ ของนางเอก หรืออะไร ที่มันค่อนข้างเปิดเผย มันก็เหมือนเขาได้ความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นกลับมา ซึ่งเรารู้สึกว่า พวกเราที่ใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรจะปล่อยให้ความรู้สึกนั้นหายไป ถ้ามันคงอยู่กับเราได้ตลอดเวลา ชีวิตเราคงมีความสุขอย่างเต็มที่
|
|
ถาม |
การเป็นผู้ใหญ่ทำให้เราสูญเสียอะไรบางอย่าง
|
|
เยอะครับ! ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันอาจจะเป็นการตีความอย่างนั้นก็ได้ เมื่อคุณโตขึ้น หรือคุณต้องไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น ความเจ็บปวด ความเศร้า ความน่าเบื่อ มันอาจจะมีให้คุณได้เจอทุกวัน แต่การที่คุณได้ความรู้สึกดี ๆ กลับมา ความรู้สึกห่วงใย ความรักจากใคร สักคน ที่เขายังเก็บไว้ให้เราอยู่ มันก็ดีเหมือนกัน
|
ถาม |
อย่างในหนังเรื่องนี้ สมัยก่อนในอิตาลีมันจะมีประเด็นเรื่องการ เซ็นเซอร์รุนแรง แต่มันก็ค่อย ๆ คลี่คลายเพราะศาสนาค่อยๆ คลายความเข้มงวดลงคนจึงได้ดูหนังที่หลากหลายและเปิดเผย มากขึ้นแต่กลับกันกับบ้านเราที่กลายเป็นว่าหนังสมัยก่อนค่อนข้าง เปิดเผยได้เต็มที่ ในขณะที่ปัจจุบันมันกลายเป็นว่าเหมือนเรา
ถอยหลังลงคลอง
|
|
ใช่ ๆๆ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างเมื่อก่อน ก็ต้อง ยอมรับว่าในช่วงที่มีการปกครองสมัยจอมพล ป. หรือหลังจากนั้นมาที่มัน ค่อนข้างมีอะไรซีเรียสพอสมควรในเรื่องของการดำรงชีวิตในแง่ของการเมือง แต่ในด้านของการสร้างความบันเทิงให้กับประชาชนหรือศิลปะ เขาก็ไม่เห็น จะปิดอะไรสักเท่าไหร่เลย ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเหมือนกัน ผมว่ากอง เซ็นเซอร์ของเมืองไทยมักจะมองว่าคนไทยโง่ ไม่สามารถที่จะตัดสินใจ หรือ คิดเองได้ ถึงมึงปิด กูก็คิดได้อยู่แล้วแหละ ว่านี่เป็นขวดเหล้า นี่เป็นบุหรี่ มันเหมือนเป็นการดูถูกกันซะมากกว่า หรือว่าท้ายที่สุดเราต้องหนีวะ? ในแง่ที่ บางคนหันไปเสพสื่ออิสระ บางคนดูหนังจากเมืองนอกก็ได้ ไม่ดูของไทย อย่างงั้นดีกว่า แล้วท้ายที่สุดผมว่ายิ่งปิดคนยิ่งดื้อน่ะ
|
|
|
|
ใช่! แล้วพอคุณยิ่งใช้อำนาจมากขึ้น คนเขาจะยิ่งรับไม่ได้นะ บางทีเขาคิดอะไรกันตื้น ๆ พอสมควร
|
|
ถาม |
เรื่องที่สอง Any Given Sunday ครับ
|
|
คือผมตาม โอลิเวอร์ สโตน มาตั้งนานแล้ว อาจจะไม่ได้ดูครบทุกเรื่องของเขา ก็พยายามดูเท่าที่หาได้ แล้วก็ที่ความรู้สึก ณ เวลา นั้นอยากจะเสพหนังของเขา อย่าง Wall Street, Platoon แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ผมชอบในแง่ของการตัดต่อมากกว่า คือมันเป็น หนังกีฬา แล้วมันก็มีการเปรียบเทียบเรื่องราวการเป็นผู้นำ การเสียสละ แล้วก็มีการนำเสนอในเรื่องของชื่อเสียง เงินทองที่มัน มีส่วนเข้ามาแทรกแซงในวงการการกีฬา ถ้าเกิดเขานำเสนอในฟีล Wall Street แมร่งก็คงเป็นหนังกีฬาที่น่าเบื่อมาก ๆ (หัวเราะ) แต่เวลาที่เขาตัดต่อ เวลาที่เขาใส่เสียง ใส่เพลงในหนังเรื่องนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าการตัดต่อเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ อย่างตอน เปิดหนัง ที่เขาโคลสอัพไปที่หน้าของนักกีฬาแต่ละคน แล้วก็เป็นเสียงของสิงสาราสัตว์ เสียงคำรามของสิงโต ก็คือคล้าย ๆ กับ เมื่อเขาอยู่ในสนาม เขาก็เป็น Animals หรือเป็น Gladiator แล้วเขาก็มีการตัดต่อย้อนถึงอดีตให้คุณนึกถึงสภาพกีฬาสมัยก่อน ที่มันบริสุทธิ์ เป็นการเล่นเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับคนในสังคม ซึ่งผมว่าการตัดต่อในเรื่องนี้ของเขาเจ๋งว่ะ!
|
|
ถาม |
ดู ๆ ไปมันก็คล้ายงานโฆษณาเหมือนกันนะ
|
|
ใช่! มันทำให้ไม่น่าเบื่อ แล้วอันนี้ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ผมรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ ถ้าวัยรุ่นคนไหนดูแล้วจะกลายเป็นแฟนหนังของโอลิเวอร์ สโตนไปทันที
|
ถาม |
แต่มันก็เป็นหนังที่แปลกออกไปจากหนังทั่ว ๆ ไปของเขา มันค่อนข้างจะป๊อป ในขณะที่เรื่องอื่นมันค่อนข้างเครียด อย่าง JFK, Nickson อะไรอย่างงี้
|
|
ใช่! เออ โอ้โห! JFK นี่ผมดูหลายรอบมาก แต่ JFK วิธีการนำเสนอ ของเขามันก็อินเหมือนกันนะ ผมว่าเขาพยายามตีประเด็นให้มันแตก มีการตั้งคำถามกับสังคม ซึ่งผมก็รู้สึกว่ามันเจ๋งดีเหมือนกัน แต่ Any Given Sunday มันอาจจะดูแมส ดูบันเทิง แต่การนำเอาวิธีการมาผสมผสาน มันทำให้หนังน่าสนใจ มันเอนเตอร์เทนในการเสพเรื่องราวของเขา ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นทั่ว ๆ ไปที่ยิงกันกระหน่ำกระจายแล้วก็ เฮ้ย! โอ้โห แมร่งสะใจ! มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่มันเป็นการดูการดำเนินเรื่อง การเชือดเฉือนของวงการธุรกิจกีฬา มันเจ๋งดี!
|
ถาม |
ได้ดู Wall Street 2 หรือยังครับ
|
|
ดูแล้วครับ ก็..โอเค แต่ผมรู้สึกว่าช่วงหลัง โอลิเวอร์ สโตน เริ่มเจี๋ยมเจี้ยม ยังไงก็ไม่รู้ (หัวเราะลั่น) ผมไม่ได้คิดคนเดียวใช่ไหม? (หัวเราะ) อะไรวะเนี่ย! หนังมันมาเหมือนจะดี แต่ตอนท้าย แมร่งเอ๊ย! ตกม้าตายซะงั้น ถ้าจบอีกแบบมันจะได้รู้ว่าสภาพความเป็นจริง ชีวิตจริงของคนมันเป็นยังไง แต่เขาอาจจะพยายามนำเสนอเพื่อให้คนรู้สึกก็ได้ว่า ไม่แน่มันอาจจะ มีคนอย่างนี้อยู่ก็ได้นะ มีแฮปปี้เอนดิ้ง เพื่อทำให้คนมีความหวัง เพราะอเมริกาช่วงที่ผ่านมามันก็รุนแรงกันเหลือเกิน
|
|
|
ถาม |
เรื่องที่สามครับ Magnolia เห็นเมื่อกี้เกริ่นเอาไว้ว่ามันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว
|
|
ใช่ ย้อนกลับไปอีกเช่นเคย กับสิ่งที่พ่อผมสอนมา ก็คือเรื่องราวของสิ่งที่มันสำคัญมาก ๆ ในสังคมของเรา ก็คือสถาบันทางสังคม ที่มันเหมือนเสาหลักของสังคมที่มีอยู่เจ็ดอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การเมืองการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ นันทนาการ (ศาสนา การศึกษา สื่อสารมวลชน) แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นพื้นฐานของทุกอย่างก็คือ ครอบครัว ซึ่งผมรู้สึกว่าเรื่องนี้นำเสนอสิ่งที่มันเกิดขึ้นในสถาบัน ครอบครัวว่า ถ้าเราปล่อยให้มันยังแย่แบบนี้ต่อไป หรือมันถูกหล่อหลอมออกมาแบบนี้ ผลกระทบมันจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่า จะเป็นอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งมันส่งผลเสียกับสังคม ซึ่งผมก็ชอบตั้งแต่ตอนต้นที่เขามีการนำเสนอเรื่องราวที่มัน ดูเหมือนจะเป็น เรื่องบังเอิญหรือเปล่าวะ? ตั้งแต่การฆาตกรรมของหมอที่ตายบนถนนนี้ แล้วชื่อเสือกเหมือนคนฆ่าทั้งสามคน หรือว่าเรื่องของนักดำน้ำที่โดนช้อนขึ้นมาจากทะเลสาบ ที่จริงๆ ก็เพิ่งมีเรื่องต่อยกันมากับคนที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เขาเสียชีวิต หรือแม้กระทั่งเรื่องที่โคตรเพี้ยนพิสดารของคนที่ตกลงมาจากยอดตึกเก้าชั้น และโดนยิงระหว่างทางที่ตกลงมาโดยพ่อแม่ตัวเอง ซึ่งแบบว่า โอ้โห! มันเกิดขึ้นมาได้ไงวะ! คือเขาก็คงพยายามจะทำให้เห็นว่าเรื่องบังเอิญพวกนี้มันคงเกิดขึ้นได้ ชีวิตมันมีความ เชื่อมโยงกัน แต่อย่าลืมสิว่า ไอ้สิ่งที่มันโคตรชัดเจนอย่างเรื่องครอบครัว เรื่องที่ลูกสาวโดนพ่อข่มขืนกระทำชำเราตั้งแต่เด็กมันมีอยู่ ซึ่งมันก็ต้องส่งผลอย่างชัดเจนกับเขาอยู่แล้ว มันก็ต้องเป็นแผลอะไรสักอย่างที่ค้างอยู่ในใจเขา
|
ถาม |
แล้วตัวพ่อเองก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม ซึ่งจริง ๆ เรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นดาษดื่น แม้แต่ในสังคมของเราเอง
|
|
ใช่ เรามักจะตื่นเต้นกับสิ่งที่มันเกิดได้ยากมาก อย่างเรื่องอุบัติเหตุพิสดาร แต่ว่าสิ่งที่เป็นเรื่องที่เลวร้าย ที่ไม่น่าจะรับกันได้ บางทีกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ หรือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กระทั่งบางทีก็ยอมรับมันด้วยซ้ำ เหมือนที่เขาพูดว่า บาปของพ่อแม่ ท้ายที่สุดแล้วมันก็ต้องตกของลูก ซึ่งมันก็จะค้างอยู่อย่างนั้นตลอดไป ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ ถ้าครอบครัวไม่ดี ผลผลิตที่ส่งออกมาสู่ สังคมมันก็ต้องด่างพร้อยเช่นกัน มันอาจจะเป็นเรื่องของการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในสังคม แต่กลับละเลยในสิ่งที่เบสี๊กเบสิก นั่นก็คือเรื่องของครอบครัว
|
|
|
ถาม |
อย่างประเด็นเรื่องเกมโชว์ในหนังเอง ที่สนับสนุนเรื่องการถ่ายทอด
ความรู้แบบฉาบฉวยก็น่าคิดนะครับ?
|
|
ใช่ อย่างวันก่อนดูเกมโชว์อันนึง แล้วรู้สึกว่าคำถามพวกนี้กูได้ประโยชน์อะไรวะ? ก็โอเคแหละ! เพื่อความบันเทิง แล้วก็ยืดยาว คำถามเดียวหนึ่งเบรก อ๊ะ! เดี๋ยวเรา มาฟังคำตอบช่วงหน้านะครับ แล้วโฆษณาล่อไปเจ็ดแปดนาที บางทีดูคลิปรายการ บางรายการที่ไปทำประโยชน์ให้สังคม เอาเข้าจริง ๆ คนที่ได้ประโยชน์จริง ๆ คือใคร คือคนที่เราไปทำประโยชน์ให้เขา หรือเจ้าของสินค้าผู้สนับสนุนรายการ กันแน่?
|
ถาม |
แล้วไปเรียนรัฐศาสตร์นี่ไม่กลายเป็นอยู่ในกรอบหนักกว่าเก่าอีก
หรือครับ
|
|
ไม่ครับไม่ คือผมรู้สึกว่ารัฐศาสตร์เป็นสิ่งที่ผมยอมรับได้ ผมกลับรู้สึกว่าการที่ ผมไปเรียนรู้ด้านรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง หรือแม้กระทั่งกฎหมาย มันเป็นสิ่งที่คล้าย ๆ เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต การวางตัวในสังคม มันต้องเป็นอย่างไร หรือว่าสิ่งที่ถูกต้องมันคืออะไร แล้วก็ค่อยเอามาผสมผสาน กับสิ่งที่เราเจอ กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน หรือว่าแนวคิดอื่น ๆ ที่มันอาจจะ สร้างสรรค์ ทำให้มันไม่น่าเบื่อ หรือทำให้มันมีความน่าสนใจ มากยิ่งขึ้นก็ได้
|
ถาม |
ในฐานะที่คุณจอห์นเองก็เป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบนี้เหมือนกัน คุณคิดอย่างไรกับเรื่องแบบนี้?
|
|
ใจนึงผมก็มักจะพูดกับตัวเองมาตลอดนะว่า เออ มันต้องใจเขาใจเราว่ะ! ในแง่ของคนทำธุรกิจเขาก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอด หรือเพื่อให้เขาได้กำไร ให้มากที่สุด แต่ผมก็พยายามพูดลอย ๆ เล่น ๆ หรือพูดในเชิงเสียดสีอยู่บ้างว่า บางทีถ้าคุณได้กำไรจากอันนี้น้อยลงสักนิด แต่อาจจะสร้างประโยชน์อะไร ให้กับ สังคมได้บ้าง ซึ่งโอกาสที่จะเห็นเรื่องแบบนี้มันมีน้อยมาก แต่ก็มักจะ หวังอยู่เสมอ การดูหนังบางทีมันก็สร้างความหวังอะไรได้บ้างมั้ง บางทีเรา อาจจะเห็นแฮปปี้ เอนดิ้ง เหมือนอย่างใน Wall Street 2 ที่เขาอาจจะยอม ขาดทุนร้อยล้านเพื่อที่จะ สร้างความสุขให้กับคนที่เขารัก หรือให้กับคนที่ไม่ รู้จักเลย แต่โอกาสที่มันจะเกิด เรื่องอย่างนั้นขึ้นได้มันค่อนข้างยาก หนังบางเรื่องมันก็แสดงให้เราเห็น เหมือนกัน ว่าแฮปปี้เอนดิ้งมันไม่มี หรอกนะ ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ ผมก็ชอบนะ อย่าง Magnolia มันก็ เสนออะไรทำนองนี้เหมือนกัน บางคนเข้าไป ในโรงหนังเพื่อที่จะ ดูนางเอก พระเอกรักกัน ตอนจบผู้ร้ายตาย แต่ในหนังเรื่องนี้ พระเอกมันก็เน่า นางเอก มันก็เน่า มันอยู่ที่ว่าตอนท้ายที่สุดเราจะทิ้งความรู้สึกแย่ ๆ เหล่านั้นออกไป ได้ไหม คุณพร้อมจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ไหม หรือพร้อมที่จะ ให้อภัย และ ให้โอกาส คนในสังคมหรือเพื่อนร่วมสังคมของเราบ้าง หรือเปล่า?
|
|
|
ถาม |
เรื่องที่สี่ Reservoir Dogs ครับ
|
|
อันนี้ชอบแค่ความดิบของมัน (หัวเราะ) ชอบในแง่ที่มันเป็นหนังแก๊งค์สเตอร์เท่ ๆ ที่ไม่ต้องละเมียดมากน่ะ ผมชอบเควนติน ทารันทิโน่ อยู่แล้ว คือผมดู Pulp Fiction ก่อน เพราะมันเป็นหนังที่พี่สาวผมเอาไปทำเป็นรายงานบทวิจารณ์ตอนที่เขาเรียนฟิล์ม อยู่ที่วารสารฯ ธรรมศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ก็เหมือนจะรับไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ (หัวเราะ) ตอนนั้นพี่สาวก็ดูเป็นบ้าเป็นหลัง แม่ก็มาดูด้วยว่าหนังบ้าอะไรวะ! เราดูแล้วก็เออ มันเจ๋งดีว่ะ! วิธีการเล่าเรื่องสำหรับผมตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ใหม่
|
ถาม |
งั้นควบเรื่องที่ห้าไปด้วยเลยนะครับ Pulp Fiction
|
|
(หัวเราะ) ควบไปเลยแล้วกันครับ คือผมชอบวิธีการนำเสนอของเขาอยู่แล้ว สลับโน่นสลับนี่ เอาตอนนั้นไปไว้ตรงนี้ ตอนนี้ไปไว้ตรงนั้น
|
ถาม |
ไม่เรียงลำดับเวลา
|
|
ใช่ ซึ่ง Reservoir Dogs ก็มีบางส่วนที่คล้าย ๆ กันกับการเล่าเรื่องตอนที่มีการรวบรวมทีม หรือตอนที่ไอ้ MR. Orange พระเอกของเรื่องมันอยู่ในช่วงที่ค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองให้เป็นโจรเพื่อเป็นสาย มันก็เป็นสิ่งที่ตื่นเต้นดีในการเสพหนังในลักษณะใหม่ ๆ ที่ดิบ หรือโหดพอสมควร ซึ่งเควนตินเขาก็ขึ้นชื่ออยู่แล้วน่ะ โหดมาก ตัดหูอะไรอย่างงี้ หรือที่หนังพูดเรื่องการปล้นโดยที่ไม่มี ฉากปล้นเลย เห็นภาพของการยิงกันตายฆ่ากันตายในโกดังอย่างเดียว ผมมองว่าสองเรื่องนี้มันเอนเตอร์เทน สนุก แล้วมันก็ให้ รสชาติใหม่สำหรับผมในการดูหนังเวลานั้น
|
ถาม |
แต่ในช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาฉายในบ้านเรา คนก็ยังรับไม่ค่อยได้ เดินออกกันตรึม
|
|
ใช่ๆ อย่างผมเองต้องดูรอบสองถึงจะเก็ต รอบแรกผมจะเป็นในแง่ของความ อะไรวะ! สรุปแมร่งยังไงกันแน่วะ! พอดูรอบสองก็อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง บางคนดูหนังแล้วอาจจะแค่เพื่อบอกว่า เฮ้ย! กูดูแล้วว่ะ! เรื่องนี้ แล้วก็จบ แต่การที่เราโดนปลูกฝังให้ต้อง ดูแล้วดูอีก ๆๆๆ อย่าง Magnolia อีตอน เปิดเรื่องขึ้นมาที่เห็นไอ้ จิมมี เกเตอร์ พ่อที่ลวนลามลูกสาวมันกำลังซั่ม ผู้หญิงอยู่ (ฮา) ผมมักจะคิดมาตลอดว่ามันกำลังซั่มเมียตัวเอง เพราะมัน ไวมากไง พอมาดูเมื่อสักอาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งรู้ว่าที่เราดูมาเมื่อหลายปีก่อน เราเข้าใจผิดมาตลอด คือจริง ๆ แล้ว คนที่มันซั่มอยู่ เป็นพนักงานในบริษัท ตัวเอง แล้วไอ้ช็อตประมาณสักสี่ห้าซีนต่อไป ก่อนที่มันจะไปออกรายการ มันก็บอกให้ผู้ช่วยของมันไปตามผู้หญิงคนนี้ไปหามันในห้องอีก แล้วอีผู้ช่วยของมันก็ หา! จะให้ตามมาอีกเหรอ? นี่คุณต้องออนโชว์ในอีก 20 นาทีนี้แล้วนะ! คือคนในบริษัทมันก็คงรู้ว่าไอ้นี่มันเฮี่ย มันเลวน่ะ แต่ก็ยอมรับและก็ทนกับความเลวของมัน
|
ถาม |
ซึ่งถ้าเราไม่สังเกต หรือดูหลายรอบก็คงมองไม่เห็น
|
|
ใช่ๆ แม้กระทั่งดู Pulp Fiction ตอนต้นที่มันมีการเปลี่ยนคลื่นวิทยุ ตอนแรก ผมก็คิดว่า สงสมัยมันเป็นความเท่ในการนำเสนอเพลงหรืออะไร สักอย่างในการ ดำเนินเรื่อง แต่พอไปฟังดูดีๆตอนที่จอห์น ทราโวลตา กับ แซมวล แอล. แจ็กสัน คุยกันอยู่ในรถ เพลงมันก็ยังเป็นคลื่นนั้นอยู่ ซึ่งมัน ก็เป็นการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันเจ๋งดี ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ เราจะจับมันได้จากการดูบ่อย ๆ ซึ่งมันก็สนุกดีกับการที่ทุกครั้งเราเปิดขึ้นมา แล้วเจออะไรใหม่ ๆ
|
ถาม |
อย่างสองเรื่องนี้ถ้ามันมาเรียงในแบบปกติมันก็คงเป็น
หนังแก๊งสเตอร์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป
|
|
ใช่ มันก็อาจออกมาจะคล้าย ๆ Goodfellas ก็ได้ แต่ Goodfellas มันจะมีรสชาติของการนำเสนอตามสไตล์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี ซึ่งเค้าก็จะมีการนำเสนอที่...
|
|
|
|
ถาม |
งั้นเข้าเรื่องที่หกเลยนะครับ Goodfellas
|
|
อ๋อ โอเค! ได้ครับๆ (หัวเราะ) คือมันก็แก๊งสเตอร์เหมือนกันใช่ไหมครับ แต่มัน อาจจะเป็นของคนสองยุคสองสมัย อย่างเควนติน วิธีการนำเสนอมันก็จะเป็นวัยรุ่น ดูดิบ ๆ เถื่อน ๆ แต่ของมาร์ตินมันจะดูละเมียดละไม วิธีการเล่าเรื่องแมร่งเจ๋งดีว่ะ! ผมไม่รู้ว่ามันเจ๋งเพราะเขาเขียนบทมาได้ประมาณนึงแล้ว หรือด้วยความที่เขา ได้นักแสดงเบอร์ใหญ่ ๆ ที่คุ้นเคยกับเขามากๆอย่าง โรเบิร์ต เดอ นีโร, โจ เพสซี่, เรย์ ลีออตต้า ด้วยความที่องค์ประกอบมันผสมผสานทำให้การเล่าเรื่องธรรมดา ๆ มันโดดเด่นได้ ซึ่งการกำกับหรือการเล่าเรื่องของแต่ละคนก็จะมีรสชาติที่มัน แตกต่างกันออกไป อย่างตอนหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็เป็นเพลงของ จิมี่ เฮนดริกซ์ ขึ้นมา แล้วก็ซูมไปที่หน้าของ เดอ นีโร ที่มันกำลังจะทำเรื่องชั่ว ๆ ประมาณว่า เดี๋ยวกูฆ่า แมร่งเลย! แต่ในใจของเราก็ยังแอบมองว่า เท่ว่ะ! (หัวเราะ) มันเป็นรสชาติที่มัน สนุกดี บางคนดูแล้วรู้สึกว่ามันรุนแรงเหลือเกิน! แต่มันเป็นหนังที่ผมดูบ่อยมากนะ ต้องโหลดลงไอพอดไว้เลย เวลาไปต่างประเทศก็เปิดดูอยู่ตลอด ชอบ อย่าง The Departed ก็ชอบนะ แต่ผมจะรู้สึกว่าอย่าง The Departed มันก็จะเป็นอีก แบบนึง รสชาติมันแตกต่างกันน่ะ หรือว่าเป็นเพราะมันเป็นแก๊งสเตอร์ไอริช วิธีการเล่าหรือวิธีการบอกคาแรคเตอร์มันก็จะแตกต่างกันออกไป
|
ถาม |
แล้วถ้าเทียบกับต้นฉบับของฮ่องกงล่ะ
|
|
Infernal Affair เหรอครับ ถ้าเอาจริง ๆ ผมชอบของฮ่องกงมากกว่า แต่ผมก็รู้สึก ว่ามันเป็นงานรีเมคที่โอเค ถ้าเทียบกับรีเมคอื่น ๆ ของฝั่งฮอลลีวูดที่มันไม่ค่อยเวิร์ค เท่าไหร่ อาจะเป็นเพราะเราติดภาพของต้นฉบับน่ะ แล้วบางทีก็ยังงงอยู่เลยว่า แมร่งได้ออสการ์ได้ยังไงวะ? (หัวเราะ) แต่ก็โอเค ให้ลุงแกเถอะ เข้าชิงมากี่รอบ ๆ ก็ไม่เคยได้จนสงสารน่ะ ปีนี้มึงเอาไปเหอะ! (หัวเราะ) ผมไม่รู้ว่าคนที่โหวตให้ใน ปีนั่นเขาคิดอย่างนี้เหมือนกันหรือเปล่านะ (หัวเราะ) เพราะตั้งแต่ Raging Bull, Taxi Driver เขาก็ทำออกมาโอเคมาก ๆ แต่ Goodfells นี่ชอบสุดตั้งแต่ ดูของเขามา
|
|
|
ถาม |
เรื่องที่เจ็ด The Dark Knight ครับ
|
|
ผมเนี่ยเป็นแฟนของแบทแมนอยู่แล้ว คือจริง ๆ ผมชอบโจ๊กเกอร์น่ะ ตอนที่ผมอ่านการ์ตูน ผมไม่ได้ชอบแบทแมน แต่ชอบโจ๊กเกอร์ (หัวเราะ) อ่านตั้งแต่ ป.4 ป.5 แล้วแม่ก็จะเห็นว่าเราอ่านเยอะมาก บ่อยมาก ก็จะตั้งคำถามว่า ทำไมชอบอ่าน ชอบแบทแมน กับโรบินเหรอ? ป่าว ไม่ใช่ เราชอบโจ๊กเกอร์ แล้วแม่ก็จะ หา! โอ้มายก็อด! ลูกฉันโตขึ้นจะกลายเป็นเด็กเลว เป็นพวกต่อต้านสังค มหรือเปล่าเนี่ย? ซึ่งเออ...ก็เป็นอยู่นี่หว่า! (หัวเราะ) แล้วแม่ก็จะบอกตลอดว่า ไม่ได้นะลูก ลูกอย่าไปเลียนแบบไอ้นี่นะ! (หัวเราะ) ก็ชอบมาตั้งนานแล้ว จำได้ว่าตอน ป.5 ป.6 ก็อยากจะดูหนังของแบทแมนมาก ๆ แม่ก็มาบอกว่า ก็มีนี่! มีโจ๊กเกอร์ด้วยนะ เราก็ หา! จริงหรือนี่? ก็ไปขวนขวายหามา เป็นแบทแมนเวอร์ชั่น ทิม เบอร์ตัน แจ็ก นิโคลสัน เล่นเป็นโจ๊กเกอร์ ซึ่งจริง ๆ ก็ผิดหวังนิดนึง ว่าทำไมโจ๊กเกอร์ถึงออกมาเป็นแบบนี้วะ! คือตอนนั้นอาจจะยังไม่ได้ดูหนังเขาเยอะ มาชอบเขาตอนดู China Town, About Schmidt ก็เริ่มรู้สึกว่า เออ! แมร่งเก่งจริงว่ะ ก็ต้องยกให้เขา แต่ตอนดูตอนนั้นเราก็รู้สึกว่า แมร่งเอ๊ย! มันเลวได้มากกว่านี้ มันแสบ มันกวนได้มากกว่านี้น่ะ
|
ถาม |
จริง ๆ เขาก็เล่นได้แสบ ได้กวน อยู่นะ
|
|
ผมก็ว่ามันกวนระดับนึงแล้ว แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ วาว! น่ะ แล้วก็จะคิดมาตลอดว่าจะมีใครเอาแบทแมนมาทำอีกหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นก็มีทำ แต่ก็เป็นเวอร์ชั่นแบบที่มี จิม แคร์รี่! โอ้ พระเจ้าจอร์จ! ทำออกมาได้ยังไงวะ! จอร์จ คลูนี่ เป็นแบทแมนเนี่ยนะ! แต่พอมาดู Batman Begins คือเราก็ชอบ คริสโตเฟอร์ โนแลน อยู่แล้ว ตอนนั้นก็เปิดใจในระดับนึงที่จะกลับไปดูแบทแมนอีก เพราะเราก็ดูตั้งแต่ Memento, Insomnia มา เรารู้สึกว่าเจ๋งว่ะ ก็รู้สึกว่าแบทแมนเวอร์ชั่นนี้ก็น่าจะโอเค พอดูแล้วก็โอเคจริง ๆ ก็แฮปปี้ ได้ทั้งความบันเทิงและได้ดูด้านดาร์ก ๆ ซึ่งโนแลนเขาจะชอบนำเสนอด้านดาร์ก ๆ ในคาแรกเตอร์ของเขาอยู่แล้ว อย่างเรื่องผลกระทบหรือผลต่อเนื่องทางสังคมที่มันมาลงกับตัวละครของเขา แต่พอตอนท้ายปุ๊บ ที่มันมีนามบัตรทิ้งไว้เป็นตัว โจ๊กเกอร์ เราก็ เช๊ดดด! ภาคใหม่มาแล้วโว้ย!! มีโจ๊กเกอร์ด้วย!!! เราก็โคตรอยากรู้เลยว่าใครเล่นเป็นโจ๊กเกอร์ เป็นหนังใหม่ที่เฝ้ารอ คอยเลย แล้วพอได้ดูหนังปุ๊บก็ยิ่งโอเคมาก ๆ เลย ตั้งแต่โจ๊กเกอร์เป็น ฮีท เลทเจอร์ แล้ว ทำได้ดีน่ะ คริสโตเฟอร์ โนแลน เขาเก็บ รายละเอียดในความเป็นโจ๊กเกอร์ที่มันดาร์ก แต่มันก็ยังเคลือบด้วยความกวนประสาทอยู่ ต้องยกให้เขาเลย ชอบๆๆ แต่ก็อาจจะ ไม่ได้เหมือนกับภาพที่มันติดตามาตั้งแต่เด็ก ที่โจ๊กเกอร์ปากแสยะยิ้ม ผมหวีแหลม ๆ ไปข้างหลัง ซึ่งเราก็จะติดภาพนั้นว่ายังไง โจ๊กเกอร์ ก็ต้องเป็นตัวการ์ตูนตัวนี้แหละ แต่โอเค ฮีท เลทเจอร์ ก็นำเสนอออกมาแบบที่เรารับได้มาก ๆ ไม่มีการ เฮ้อ! เหมือนตอนแจ็ก นิโคลสัน
|
ถาม |
นอกจากนั้นหนังเรื่องนี้มันยังเปลี่ยนหนังซูเปอร์ฮีโร่ธรรมดาให้กลายเป็นหนังอาชญากรรมสะท้อนสังคมไปได้เลย
|
|
ใช่! แล้วมันเหมือนพลิกในแง่ของการนำเสนอหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มันเป็นแค่ความสนุก แบบผิวเผิน แต่เรื่องนี้มันทำให้คนดูได้อะไร กลับไปคิดได้บ้าง และเป็นการนำเสนอในแง่ของสังคมสมัยใหม่ที่ทุกอย่างมันไม่ได้ขาวจั๊ว หรือดำสนิท ทุกอย่างมันก็มีความ เป็นสีเทาอยู่
|
ถาม |
เรื่องที่แปดครับ Monty Python and the Holy Grail
|
|
Monty Python นี่ผมได้มาจากการที่พี่สาวผมเขาซื้อมาจากอเมริกา ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ว่ามาดูตอนที่อยู่สัก ม.6 ดูไป ประมาณสองสามรอบก็รู้สึกว่าแมร่งฮาดี แล้วในช่วงระยะเวลาสองสามปี ที่ผ่านมาก็หยิบมาดูอีก ก็รู้สึกว่ามันเป็นการเสียดสีดี อันดับหนึ่งที่ผมชอบคือ มันเป็นหนังคอเมดี้อยู่แล้ว แล้วมันก็หยิบเอารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันมาล้อ แต่ว่าผมก็มาจับตอนช่วงดูหลัง ๆ ได้ว่า เขาก็มีการ หยิบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของการเมืองการปกครอง หรือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในสังคมมาล้อเลียนด้วย
|
ถาม |
แม้กระทั่งเรื่องของราชวงศ์อังกฤษ
|
|
ใช่ครับ ซึ่งผมก็มองว่าเขาไม่ได้ล้อแค่เรื่องของราชวงศ์อังกฤษ แต่เขาล้อใน เรื่องของการปกครองในระบอบที่เป็นกษัตริย์ ในแง่สมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งเขาก็หยิบมาล้อได้อย่างชัดเจน ว่าแบบ มึงจะบ้าเหรอ มึงเป็นใคร? อยู่ดี ๆ มาอ้างว่าเป็นลูกหลานของพระเจ้า หรือได้รับสิทธิ์โดยพระเจ้าให้มา ปกครองประเทศ ไอ้คนสมัยก่อนมันก็บ้าเนอะ! ซึ่งหนังเรื่องนี้มันก็เสียดสี โดยการหยิบเอารายละเอียดเรื่องนี้ขึ้นมาพูด และมาทำ
|
ถาม |
ถ้าดูจากรายการส่วนใหญ่ของคุณ โดยเฉพาะ 'เจาะข่าวตื้น' ก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ขันแบบเสียดสีแบบ Monty Python เหมือนกันนะ
|
|
เออ ใช่ ผมก็มานั่งคิดดูทีหลังเหมือนกัน พอวันก่อนที่ผมส่งรายชื่อหนังไปให้ ผมก็หยิบเรื่องนี้มาดูอีกที ก็เออ รายการเราก็เป็นการหยิบเอารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาขยี้เหมือนกันเนอะ จุดที่เรารู้สึกว่าเป็นจุดที่ไม่ดี หรือจุดที่แย่ เราก็หยิบมาขยี้ แล้วก็ทำแบบเสียดสีมันไป มันก็สนุกดีเหมือนกันพอเรา มาดูหนังเรื่องนี้ปุ๊บ เออ มันก็ฟีล ๆ เดียวกันเลยว่ะ ผมชอบน่ะ ผมรู้สึกว่า หนังในสมัยนั้นทำได้ขนาดนี้มันก็เจ๋งแล้ว แล้วเขาก็ทำแบบอินดี้ ๆ มีภาพแอนิเมชั่นแบบสาก ๆ (หัวเราะ) นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วเขายัง หยิบประเด็นเกี่ยวกับศาสนา ประเด็นเกี่ยวกับการเมืองการปกครองมาใช้ หรือแม้กระทั่งเรื่องของการกดขี่เพศหญิง ที่ผู้หญิงถูกกดไว้ว่าห้ามอย่างโง้น ห้ามอย่างงี้ แต่จริง ๆ ผู้หญิงก็มีความต้องการเหมือนกัน มันก็หยิบเอา เรื่องเล็ก ๆ พวกนี้มาล้อ ซึ่งผมว่ามันตลกดีเหมือนกัน เหมือนตอนที่มัน เข้าไปในปราสาทที่มีแต่ผู้หญิงอยู่ทั้งปราสาทวิ่งไล่ปล้ำ ผู้ชาย แต่สุดท้าย กลายเป็นผู้ชายที่ไม่ยอม ผู้หญิงก็ เชี่ยเอ๊ย! อีกนิดเดียว! กูกำลังจะได้ในสิ่งที่ กูต้องการแล้ว (หัวเราะ)
|
|
|
ถาม |
ซึ่งในจำนวนผู้หญิงพวกนั้นก็มีแม่ชีด้วย
|
|
เออ! (หัวเราะ) คือ ณ ปัจจุบันนี้ ผมว่าของไทยเราก็คงทำไม่ได้ คือถ้าเราพูดอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาออกมา ก็จะถูกรุมประณามว่า นี่มันเมืองพุทธนะ! ซึ่งจริง ๆ มันก็มีสิ่งเลวที่ร้ายเกิดขึ้นเพราะคนที่อาศัยผ้าเหลืองหากินเหมือนกัน
|
ถาม |
แล้วมันตลกตรงที่ว่า ถ้าใครจะทำหนังเกี่ยวกับอะไรก็ต้องไปขออนุญาตคนที่เราจะพูดถึง ทำเกี่ยวกับพระก็ต้องไป ขออนุญาตพระ หรือถ้าทำเกี่ยวกับหมอ ก็ต้องไปขออนุญาตหมอ เพราะกลัวพระ กลัวหมอจะออกมาประท้วง เรื่องนักการเมืองก็ทำไม่ได้ คนทำหนังไทยก็เลยได้แต่ทำหนังผี เพราะผีมันออกมาประท้วงไม่ได้
|
|
เออใช่! (หัวเราะ) ถึงออกมาโวยวายก็ตีเป็นเลขได้ ก็มีแต่ได้กับได้ ซึ่งสุดท้ายเราก็ได้แต่ออกมา “เฮ้ออ!” เสียงดัง ๆ กันแค่นั้นทุกที
|
ถาม |
ต่อด้วยเรื่องที่เก้า ลุงบุญมีระลึกชาติ ครับ
|
|
ที่หยิบเรื่องนี้มาเพราะว่าผมไม่ได้ดูหนังไทยที่ผมมองว่ามันเป็นงานศิลปะมา นานแล้ว คือผมดูหนังไทยทั่ว ๆ ไป ก็ต้องยอมรับ ว่ามันก็ได้แค่ในระดับนึงน่ะ อย่างคุณดูหนังรักคุณก็จะได้อารมณ์ความรัก คุณดูหนังผีคุณก็จะได้ความกลัว ท้ายที่สุด เต็มที่ก็แค่ มึงทำชั่วไว้เดี๋ยวกรรมก็จะตามทัน แต่พอดูลุงบุญมีฯ ในโรง ก็รู้สึกว่ามันเจ๋งดี ผมไม่แน่ใจว่า คุณเจ้ย เองจะตีความหนังยังไง แต่ผม รู้สึกในแนวเดียวกับคุณแม่ว่า งานศิลปะที่ดีมันไม่ควรจะมีการตีความที่มันตายตัว ผมรู้สึกว่า ลุงบุญมีฯ เป็นการทำหนัง ในแบบที่ เป็นงานศิลปะ พอมันเป็นงานศิลปะมันก็ค่อนข้างจะสากลน่ะ ไม่ว่าวัฒนธรรมไหนที่เอาหนังเรื่องนี้ไปดู เขาก็จะมีการตีความ ที่หลากหลายกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลิงผี เรื่องการเข้าไปในถ้ำ เรื่องการเห็นตัวเองนั่งอยู่ตรงปลายเตียงตอนจบเรื่อง การเห็น ผีเมีย หรือการเห็นปลาดุกด้นสดอะไรตรงนั้นน่ะ (หัวเราะ) อย่างตัวผมก็ตีความไปอีกแบบ จำได้ว่าคุณแม่ไปดูก่อนผม คุณแม่ก็ ตีความอีกแบบ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดี ถ้ายอมรับกันตรง ๆ ตั้งแต่ดูหนังไทยมา ผมยังไม่เคยเห็นหนังไทยเรื่องไหนที่มัน สามารถทำให้มันออกมาเป็นงานศิลปะได้แบบนี้
|
|
ถาม |
แต่ก็จะมีคนบางส่วนที่ตั้งคำถามว่า หนังของคุณเจ้ยเป็นหนังไทย หรือมีความเป็นไทยตรงไหน?
|
|
จริง ๆ ถ้าพูดถึงความเป็นไทย ณ ปัจจุบัน เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะคนไทย เราจริง ๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าเราคืออะไร มาจากไหนก็ยังไม่รู้เลย จริงๆเมืองไทยเอง ก็เป็นการรวมผสมผสาน คนลาว คนพม่า คนมอญ มาอยู่ในประเทศเรา ความชัดเจนว่าความเป็นไทยคืออะไรมันไม่มีไง โดยรวมเราก็รู้ว่า โอเค หนังเรื่องนี้มันมาจากเมืองไทย แต่วิธีการตีความที่มันสามารถนำไปใช้กับแต่ละ วัฒนธรรมได้ ผมประทับใจตรงนี้
|
ถาม |
มันไม่ใช่ความเป็นไทยสำเร็จรูป
|
|
ใช่ ไม่ได้บอกว่าต้องมีรำไทย มีมวยไทย ส้มตำ ต้มยำกุ้ง หรือไปตามช้างอะไร อยู่แค่นั้น แล้วผมรู้สึกว่าหนังอย่างนี้สิ มันทำให้คนต่างชาติสัมผัสอะไรที่มัน มาจากจิตใต้สำนึกของคนไทยเราได้จริง ๆ
|
ถาม |
แต่น่าเสียดายที่หนังไทยประเภทนี้มีคนดูน้อย
|
|
คนไทยก็จะ เชี่ย! กูเข้าไปดูแล้วกูหลับว่ะ! อย่างตอนที่มันเพิ่งเข้า ผมจำได้ว่า ผมก็มาบอกคนโน้นคนนี้ว่า หนังดีมากเลยพี่! พี่ต้องไปดู เขาก็จะ เออ กูไปดูมา แล้วนะ กูโคตรงงเลย! หรือบางคน เออ กูดูแล้ว แต่กูหลับน่ะ ไม่รู้กูเหนื่อย หรืออะไร กูดูไม่จบน่ะ ซึ่งเราก็แบบ โอเค! (หัวเราะ)
|
ถาม |
อาจเป็นเพราะมันไม่เรียกร้องความสนใจหรือเอาใจคนดูอย่างหนังตลาด
ทั่ว ๆ ไป
|
|
เออ! ดูออกมาแล้วกูได้ความมัน หรือ ดูแล้วกูได้ร้องไห้อะไรอย่างนี้น่ะ (หัวเราะ) แต่ดูลุงบุญมีฯ แล้วงงว่ะ! กูไม่ได้ความมัน แต่กูได้ความงง (หัวเราะ)
|
|
|
ถาม |
ซึ่งจริง ๆ 'ความงง' มันก็เป็นอารมณ์นึงที่เราสามารถเสพจากงานศิลปะได้เหมือนกันนะ
|
|
ใช่ อย่างที่ผมบอกว่าผมโดนให้นั่งคัดโน่นคัดนี่ตอนเด็ก โดนแม่ให้ดูเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซีนเดียว ฉากเดียวอยู่นั่นแหละ ตอนนั้น ก็คงงงเหมือนกัน แต่พอระยะเวลาผ่านไป เราก็ อ๋อ!!! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันอาจจะใช้เวลาหน่อยแล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน
|
ถาม |
เรื่องสุดท้าย All The President's Men ครับ
|
|
เรื่องนี้ผมชอบตั้งแต่เห็น โรเบิร์ต เรดฟอร์ด กับ ดัสติน ฮอฟแมน บนปกดีวีดีแล้ว โห! มันเป็นการดวลกันทางการแสดงเลยน่ะ ผมจำได้ว่าเคยมีการตั้งความหวังไว้ระดับนึง ในแง่ของการเจอกันของดาราใหญ่ตั้งแต่ตอนที่ผมดู Heat แล้ว แต่พอดูแล้วก็ อะไรวะ! เจอกันอยู่แค่ฉากสองฉากเอง แค่เนี๊ย! เซ็ง! พอเห็นเรื่องนี้ปุ๊บ! เออ มันอาจจะเป็นหนังเรื่องที่ทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมา ก็ได้วุ๊ย! พอดูแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ดูแล้วมันเชือดเฉือนกันดี มันก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามกัน มันก็ช่วยกัน แต่ว่ามันใช้ วิธีการแสดงอะไรสักอย่างที่ทำให้ดูแล้วมันน่าเชื่อ มันสมจริงน่ะ แล้วผมก็ชอบหนังประมาณนี้อยู่แล้ว หนังทีมันตามพิสูจน์ ความเป็นจริง ซึ่งก่อนหน้านั้นผมก็ดู State of Play ดู JFK ดู Frost /Nixon ผมก็โอเคประมาณนึงอยู่แล้ว แต่พอดูเรื่องนี้ปุ๊บ ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่ไม่ได้มีอินเตอร์เน็ท ไม่ได้มีช่องทางในการหาข้อมูลที่มันง่ายเหมือนปัจจุบัน ผมก็ยิ่งรู้สึกประทับใจ โดยเฉพาะกับการที่มันเป็นเรื่องจริงด้วย เราก็รู้สึกว่า เออ มันเจ๋งดีว่ะ! แล้วก็เช่นเคย สมมุติผมนั่งดูอยู่ที่บ้านแล้วมีเพื่อนบ้าน หรือรุ่นน้องมาที่บ้าน แล้วเขาเห็นผมนั่งดู เขาก็จะดูสักพัก แล้วก็จะ ดูอะไรน่ะ? เพราะมันเป็นหนังที่มันต้องตามใช่ไหมครับ มันต้องดูบทสนทนา ว่าเขานำเสนอข้อมูลอะไร ซึ่งเราก็แบบ เจ๋งดี! มันทำให้เราเกาะติดได้ตลอดเวลา บางคนที่อยู่ดี ๆ เดินเข้ามาดูตอนครึ่งเรื่องเขาอาจจะตามไม่ค่อยทันก็ได้ ซึ่งสำหรับผม หนังเรื่องนี้มันเป็นหนังที่ยาว แต่สนุกทั้งเรื่องเลย
|
ถาม |
ย้อนกลับไปที่คุณจอห์นพูดถึงสื่อมวลชนหรือรายการข่าวของบ้านเรา ถ้าเทียบกับหนังเรื่องนี้มันคงเป็นไปได้ยาก ที่สื่อมวลชนบ้านเราจะขุดคุ้ยและ ตีแผ่อะไรได้ขนาดนี้
|
|
ใช่ แต่ผมก็เห็นตัวอย่างนึงของสื่อมวลชนบ้านเราที่เป็นประมาณนี้ แต่ว่าโดนยิงตาย เพราะไปแฉเรื่องบ่อนเรื่องอะไร ซึ่งมันก็อาจจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้สื่อมวลชนทุกวันนี้ไม่กล้าที่จะขุดคุ้ย อะไรลึก หรือว่าเจาะจงไปที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
|
ถาม |
เพราะมันมีเรื่องอิทธิพลอยู่
|
|
มาก!
|
ถาม |
แต่จริง ๆ บ้านเขาก็มีเรื่องอิทธิพลนะ แต่สิทธิพลเมืองเขาดีกว่าเรา
|
|
ใช่ แล้วเขาก็มีระบบของการถ่วงดุลอำนาจค่อนข้างดี อย่างถ้าเขามีปัญหา กับตำรวจ เขาก็ไปหาอัยการ มันมีการถ่วงดุลที่ชัดเจน รัฐบาลท้องถิ่น หรือการปกครองท้องถิ่นมีปัญหาก็เข้าไปหารัฐบาลกลาง คือถ้าถามในแง่ ของความชัดเจนหรือความปลอดภัยมันก็ดีกว่าเรา
|
ถาม |
ถึงขนาดที่ว่าคนธรรมดาไม่กี่คนสามารถล้มรัฐบาลหรือประธานาธิบดี
ได้เลย มันแสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของข่าวสารและสื่อมันมีพลัง
มหาศาลมาก
|
|
ใช่ ซึ่งเราก็ต้องย้อนกลับมามองตัวเองด้วยว่า การนำเสนอข้อมูลของสื่อมวลชน บ้านเรา อะไรที่มันเป็นประโยชน์กับสังคมมากกว่า การเช็คว่าใครเป็นพ่อเด็ก? หรือการตีข่าวว่าคลิปโน้นคลิปนี้จริงไหม? ประโยชน์ที่ได้จากข่าวพวกนี้ คืออะไร? เป็นการบอกว่า ครอบครัวคนไทยที่ดีไม่ควรเป็นอย่างนี้นะ! เหรอ?
|
ถาม |
แต่ถ้าเทียบพลังและความอุตสาหะในการขุดคุ้ยนี่ พอ ๆ กันกับ ของเมืองนอกเลย โดยที่ไม่พูดถึงเนื้อหาสาระนะ
|
|
เออ ทีเรื่องนี้มึงสืบสวนกันจัง! แต่ไอ้เรื่องที่มันน่าจะได้ประโยชน์กว่านี้ไม่เห็น ทำกัน ผมแค่รู้สึกว่า ถ้าคนมันพูดความจริงกันเยอะ ๆ มึงจะไปฆ่าให้หมด ทุกสำนักพิมพ์ ทุกหัวหนังสือพิมพ์เลยเหรอ?
|
|
|
ถาม |
แต่เรามักจะเซ็นเซอร์ตัวเองเสียก่อน
|
|
ใช่ ซึ่งพอเซ็นเซอร์ตัวเองปุ๊บ มันก็จะเป็นต้นเหตุของการเซ็นเซอร์ทุก ๆ อย่าง
|
ถาม |
คำถามสุดท้ายครับ หนังให้อะไรกับคุณบ้าง
|
|
อืมม์... ก็อย่างที่ผมบอกนะ มันให้ความหวังอะไรสักอย่างกับผมน่ะ บางทีเวลาดูหนังแล้วมันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง แล้วเขาเอามานำเสนอ มันก็ให้ความหวังอะไรสักอย่างว่า มีคนที่เห็นสิ่งที่เป็นเรื่องจริงแล้วเอามาบอกต่อ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ ผมประทับใจ มันทำให้ผมมีความรู้สึกว่า ไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่มันอาจจะดีหรือไม่ดีในสังคม คุณจะทำดี หรือทำไม่ดี ก็ยังมีคนเห็น และมีคนที่จะหยิบเอามาทำเป็นภาพยนตร์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นความหวังอย่างนึงที่มันดีมาก ๆ การดูหนัง มันก็เป็นการให้ความหวัง ผมว่า สังคมของเรายังมีคนที่มอง และพร้อมที่จะนำเสนอความเป็นจริงอยู่บ้าง
|
ถาม |
แล้วคิดจะเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอแบบนี้บ้างไหม?
|
|
(หัวเราะลั่น) ...เป็นอินทรีแดงเหรอครับ! เดี๋ยวค่อยว่ากันก็แล้วกัน!!! (หัวเราะ)
|
|
|
* ดูประวัติ จอห์น วิญญู วงศ์สุรวัฒน์
* ดูอัลบั้มรูป จอห์น วิญญู วงศ์สุรวัฒน์
|
|