พอเราลองย้อนกลับไปมอง เออมีคนที่เขารัก เรา เป็นห่วงเรา เราเลยพยา ยามคิดว่า ก่อนหน้านี้เราไม่มีเขายังอยู่ได้เลย แล้วทำไมตอนนี้เราจะอยู่ไม่ ได้
ตั้งแต่เด็กจนโตมาจั่นก็ไม่มีเขา จั่นก็อยู่มาได้แบบมีความสุข แล้วทำไม หลังจากนี้เราจะอยู่ไม่ได้ จั่นไปทำบุญก็ได้เจอกับคนที่เขาด้อย โอกาสกว่า เรา เขายังมีกำลังใจ มีแรงจะสู้ต่อ แล้วนับประสาอะไรกับเรา เราก็แค่แบบ ถ้าเทียบกับเขา มันก็แค่นี้เอง มันก็แค่เรื่องความรัก
แต่สำหรับตอนนั้นมันใหญ่มาก เพราะแบบ โห เขารู้กันทั้งประเทศ แล้วมัน เป็นเรื่องซีเรียสสำหรับเรา ถ้าถามจั่นว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ตั้งแต่เกิดมา ในชีวิตไหม จั่นก็ตอบได้ว่าใช่ จั่นก็ไม่รู้ว่าต่อไปในอนาคตจั่นจะเจอ เรื่อง ใหญ่กว่านี้อีกรึเปล่า แต่ว่าสำหรับจั่นตอนนั้น จั่นอายุ 24 จั่นไม่เคยเจอเรื่อง ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น ซึ่ง แบบว่าคนก็รู้ ไปไหนคนก็จับตามอง แต่แม่ก็บอก ว่ามันเป็นการตัดสินใจของเราเอง ไม่ได้มีใครมาบังคับ เราก็ต้องยอมรับผล ที่มันจะตามมาให้ได้
ก็คือต้องใช้หลักของธรรมมะมามองว่า สิ่งไหนที่มันเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ โอเค อย่างน้อยก็ไม่ได้จบกันไป แล้วอยู่กันไม่ได้ ก็เลิกกันไป เลิกกันตอน นี้ยังมองหน้ากันได้ จริงๆ ก็แบบอาจจะดีที่ยังไม่ได้มีลูกแล้วเราไปกันไม่ได้ เราเกิดมา เราก็มาคนเดียว ไปเราก็ต้องไปคนเดียว ตอนนี้จั่นรู้สึกว่าจั่นตื่นมา ทุกวัน จั่นรู้สึกมีความสุข ที่เราไม่ต้องเอาหัวใจของเราไปผูกติดกับใคร มัน แฮปปี้ไง มันมีความสุข ” |